ภาพฝันที่ง่ายแต่งาม ของปรกชล อู๋ทรัพย์ นักเคลื่อนไหวสายบู๊แห่ง Thai-Pan และ BioThai
“เรารู้ว่าทุกวันที่เราทำงาน มีคนได้ประโยชน์ และมีคนที่ตื่นรู้ มันเห็นความหวังว่าระหว่างทางที่ไปถึงเป้าหมาย จะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง”
แนน-ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (BioThai) และผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-Pan) บอกถึงแรงผลักที่อยู่เบื้องหลังการทำงานมาตลอดระยะเวลาสิบปี นั่นคือสิบปีกับไทยแพน และหนึ่งปีกับองค์กรที่มีเจตจำนงเพื่อฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ เกษตรกรรมเชิงนิเวศ ความมั่นคงทางอาหาร การค้าและเศรษฐกิจที่เป็นธรรมอย่างไบโอไทย ซึ่งทั้งสององค์กรคือเครือข่ายที่เกี่ยวมือทำงานร่วมกันมาอย่างแข็งขันและเหนียวแน่น ในบ้านหลังเดียวกันที่มูลนิธิชีววิถี

อดีตเด็กกิจกรรม ประธานสภานิสิตปี 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ซึมซับแนวคิดของปัญหาทางโครงสร้างต่างๆ ประกอบกับการได้มีโอกาสคลุกคลีกับงานเกษตรกรช่วงสั้นๆ เก็บคำถามหลายข้อเอาไว้ในใจ หนึ่งในนั้นคือ ‘ความยั่งยืนนั้นมีจริงหรือ’ และคำนั้นพาให้ปรกชลเข้าเรียนปริญญาโทของโครงการสหวิทยาการ ที่มหาวิทยาลัยเดิม ในหลักสูตรการใช้ที่ดินและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
“อยากรู้ว่ามันมีจริงหรือคำว่ายั่งยืน เพราะว่าทุกอย่างมันต้องเปลี่ยน ระหว่างเรียนก็ได้มีโอกาสไปฝึกงานในพื้นที่ของมูลนิธิข้าวขวัญ ไปฝังตัวกับชุมชนชาวนาอินทรีย์ที่อยู่ท่ามกลางนาเคมี และทำธีสิสที่นั่น เพราะอยากเข้าใจในทุกมิติ นาอินทรีย์ท่ามกลางนาเคมีมันเป็นไปได้หรือ แมลงจะมารุมลงที่นาอินทรีย์มั้ย เศรษฐกิจของคนทำนาอินทรีย์ดีกว่ามั้ย แล้วสุขภาพเขาดีกว่าจริงมั้ย แล้วเราก็พบว่าอินทรีย์มันสามารถทำได้จริง เป็นทางออกและเป็นคำตอบในตอนนั้น ไม่เหมือนจากที่เคยรับรู้ และมันสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความมั่นใจบางอย่างให้เรา พอรู้ว่าไบโอไทยเปิดรับเจ้าหน้าที่ เราก็เลยไป”
ปรกชลเล่าว่า เธอรู้จักมูลนิธิชีววิถี ตั้งแต่ครั้งยังเรียนเกี่ยวกับพันธุศาสตร์ตอนปริญญาตรี บทความที่วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ (อดีตผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ปัจจุบันคือเลขาธิการมูลนิธิชีววิถี) เขียนถึงเรื่อง GMO ช่างต่างกับสิ่งที่ได้เรียนชนิดที่เรียกว่าคนละโลก
“เราสามารถที่จะสร้างสรรค์อะไรก็ได้ด้วยเทคนิค ด้วยความรู้ แต่แนนไม่เคยได้ยินเรื่องการผูกขาดเทคโนโลยี ไม่เคยได้ยินเรื่องความเหลื่อมล้ำ คำว่าอำนาจสิทธิบัตร หรือแม้กระทั่งการปนเปื้อนของพันธุกรรมที่อาจมาจากการตัดแต่งพันธุกรรมภายในพันธุ์ท้องถิ่น มันเปิดอีกมุมมองของเรา พอเห็นชื่อไบโอไทย เรากลับไปคิดถึงสิ่งที่เคยอ่าน ก็เลยมาสมัคร แล้วได้มาทำงานเป็นผู้ประสานงานไทยแพน”

ไทยแพนเป็นหนึ่งในเครือข่ายทำงานของไบโอไทย ซึ่งมีพันธกิจในการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยของสารเคมีทางการเกษตร เตือนภัย ไปจนถึงการขับเคลื่อนทางนโยบายด้านการจัดการและควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืชให้มีความรัดกุม เพื่อความปลอดภัยของเกษตรกร ผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาที่ยั่งยืน
“มันคือการเรียนรู้ที่ใหม่มากๆ ต้องพูดว่าพี่เขาสอนงานแบบถีบเราลงน้ำ เช่น มาถึงก็ให้เราไปประชุมเลย แล้วมันประกอบด้วยคนที่หลากหลายมาก และมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันมาก ซึ่งเราแบลงก์มาก ไม่รู้จักใคร แต่ก็ทำให้เราได้เรียนรู้
“แล้วเราไม่ถนัดการดีลกับคนด้วย เมื่อก่อนเรามีความเชื่อว่า เราไม่ชอบความขัดแย้ง เราจึงไม่ค่อยสบายใจนักกับการที่ต้องมีการปะทะกันทางความคิด และหลังๆ มันไม่ใช่แค่ความคิดเห็น มันคือจุดยืน มันคือหลักการ เรื่องผลประโยชน์ ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องสู้ ต้องยืนหยัดหนักแน่น ก็ใช้เวลาในการปรับตัวค่อนข้างมาก”
เพราะเป็นการทำงานที่ต้องข้องเกี่ยวกับทั้งหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชน ซึ่งมีความเห็นต่างกัน หน้าที่ผู้ประสานงานที่แนนรับผิดชอบอยู่จึงไม่เคยง่าย ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันนี้
“การที่เรามาพูดเรื่องนี้ มาตรวจสอบเรื่องความไม่ปลอดภัยของผักผลไม้ เราเผยแพร่ข้อมูลในมุมหนึ่ง แต่เขาอาจมองว่ามันสร้างความเสียหาย สร้างความตื่นตระหนก หรือว่าการแบนสารเคมีก็อาจมีกลุ่มผู้ประกอบการที่เสียประโยชน์ และอาจมองเราเป็นฝ่ายตรงข้าม จึงอาจต้องมีการปะทะกันทางจุดยืน ไปจนถึงแสวงหาความร่วมมือ ซึ่งแนนเป็นผู้ประสานงานก็ต้องทำให้ได้ แล้วเราจะทำยังไงให้เกิดการเรียนรู้กัน ก็ยากในการทำงาน
“ถึงวันนี้เราก็เรียนรู้กันในระดับหนึ่ง มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ถ้าไม่ได้เปิดใจ ก็จะมีบางคนที่ไม่เข้าใจ เพราะเขาตัดสินเราจากที่เห็น ไม่ใช่ตัดสินแค่ตัวเรานะ แต่ตัดสินจุดยืนองค์กร หรือว่าเป้าหมายขององค์กรจากบางอย่างเท่านั้นเอง ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ แล้วมันเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ที่มุมที่เราพยายามเสนออาจไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเลือกในตอนนี้ หน้าที่เราก็คือพูดความจริงด้วยการใช้ข้อมูล
“การทำงานของไทยแพนเอง หลักของเราคือชัดเจนว่า สิ่งที่เราทำมีเป้าหมายอะไร แล้วใช้ข้อมูลเป็นตัวนำ ใช้ข้อเท็จจริง แล้วก็สื่อสาร แสวงหาแนวร่วม ซึ่งแนวร่วมของเราส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภค หรือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสายงานนี้โดยตรง แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องความปลอดภัยด้านอาหารมันเป็นพื้นที่ของทุกคน หากสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นได้ ก็อาจมีเกษตรกรบางคนพร้อมปรับเปลี่ยน”
สิบปีที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนเรื่องสารเคมีทางการเกษตรของแนน สร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทยหลายอย่าง ทั้งเรื่องการยกเลิกการใช้สารเคมีอันตรายในการทำเกษตร ที่ประกาศยกเลิกโดยคณะกรรมการวัตถุอันตราย การตรวจสารปนเปื้อนในผักที่ได้รับการยอมรัฐทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและผู้บริโภค และเกิดการขยายผลต่อ ฯลฯ

“เป้าหมายของเราคือ ถ้ามันเป็นสารที่อันตราย ก่อผลกระทบอย่างชัดเจน ประเทศต้นทางไม่ใช้แล้ว เราไม่ใช่ถังขยะนะ เราควรมีสิทธิ์เลือก แนนมองว่าเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร ความปลอดภัยของเกษตรกรเป็นเรื่องที่ต่อรองไม่ได้ ความปลอดภัยเป็นเรื่องพื้นฐาน เป็นสิ่งที่ทุกคนควรได้รับ และรัฐมีหน้าที่ทำให้สิ่งนี้เกิด
“สิ่งที่เราพยายามผลักดันและอยากจะเห็นก็คือ โครงสร้างการกำกับสารเคมีในประเทศไทย อันนำไปสู่ความปลอดภัยมากขึ้น จากบทเรียนจากการแบนพาราควอต เราเห็นว่ามันเหนื่อยมาก เพราะเรากำลังสู้กับผลประโยชน์ ความเคยชิน และหลายๆ อย่าง
“ซึ่งการจะแบนสารที่เป็นอันตรายแล้วให้หน่วยงานเล็กๆ ลุกขึ้นมา หรือให้ประชาชนลุกขึ้นมาพิสูจน์ความอันตราย มันใช้เวลา แต่ถ้าปรับที่โครงสร้างกฎหมาย เหมือนของสหภาพยุโรป ผู้ประกอบการจะขึ้นทะเบียนก็ต้องพิสูจน์ความปลอดภัยตามเกณฑ์ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่ต้องขึ้น แบบนั้นมันดีกว่าเยอะ ซึ่งเรากำลังผลักให้กฎหมายไปทิศทางนั้น แต่ไม่ง่ายเลย”
ปรกชลสะท้อนภาพการทำงานของไทยแพน ที่ออกลูกบู๊มาตลอดไม่ว่าจะขับเคลื่อนในประเด็นใดก็ตาม ในขณะเดียวกันงานถ่ายทอดองค์ความรู้ก็ต้องควบคู่กันไปด้วย โดยทำงานร่วมกับเครือข่ายและภาคีอื่นๆ อาทิ เรื่องอาหารปลอดภัยในโรงเรียน การขับเคลื่อนและสนับสนุนการทำเกษตรยั่งยืน ฯลฯ
ในขณะที่อีกส่วนรับผิดชอบของแนน คือการเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถีหรือไบโอไทย ซึ่งมีพันธกิจที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ “ไบโอไทยเองเราอยากทำให้เกิดอธิปไตยทางอาหาร ซึ่งมากกว่าความมั่นคงทางอาหารตรงที่เราพูดถึงสิทธิของเกษตรกรด้วย ในมิติความเป็นเจ้าของที่ดิน เจ้าของพื้นที่ ใครมีอำนาจในเรื่องปัจจัยการผลิต เรื่องทรัพยากร ระบบตลาด
“เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ถ้ามองไม่เห็นว่าในโครงสร้างใหญ่ใครเป็นคนคุมอำนาจ เราก็เปลี่ยนแปลงโครงสร้างไม่ได้ เราต้องการให้อำนาจกลับมาอยู่ในมือของเกษตรกรรายย่อย เราต้องการให้นโยบายของรัฐไม่เอื้อกับกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง แต่เป็นไปเพื่อให้เกิดความมั่นคงของเกษตรกรจริงๆ เป้าหมายของเราคืออยากเห็นเรื่องความเป็นธรรมนี่แหละ ทำยังไงให้อาชีพเกษตรกรอยู่ได้อย่างมั่นคง ซึ่งตอนเรียนไม่มีใครพูดเรื่องอำนาจเลย มันเกี่ยวข้องกัน
“และคำว่ายั่งยืนที่เราสงสัย อันนี้เป็นหัวใจสำคัญเลยนะ ถ้าจะทำให้เกิดความยั่งยืน หมายความว่าทุกคนต้องมีความเสมอภาคกันด้วย
“ส่วนเรื่องเฉพาะหน้า ที่เราจะต้องระดมสรรพกำลัง องค์ความรู้ และนักวิชาการ คือเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจกับวิกฤติอาหาร ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะอยู่ไปอีกสองปี เราพยายามผลักเรื่องนี้เข้าไปในเรื่องของนโยบาย แล้วบางอย่างก็ต้องผลักเข้าไปในแผนระดับชาติให้ได้ เร็วๆ นี้ก็จะจัดเวทีปุ๋ยแพง สารเคมีแพง เราจะมีวิธีอื่นอย่างไรบ้างที่เป็นทางออกให้กับเกษตรกร แล้วเราก็ยังทำงานกับเครือข่ายเพื่อสร้างรูปธรรมในพื้นที่ ทำให้คำตอบมันเกิดขึ้นและแข็งแรงได้ในพื้นที่ เพื่อที่วันหนึ่งมันจะกลับมาผลักดันนโยบายได้”
การทำงานที่ได้ลงสนามจริง เจอจริง เจ็บจริง แรงกระแทกที่เข้ามากระทบ การปะทะกันผ่านหน้าสื่อ ทั้งหมดทั้งมวลที่ได้เผชิญ ปรกชลยอมรับว่าในช่วงแรกเธอเสียกำลังใจไปบ้าง แต่ประสบการณ์ก็ให้การเรียนรู้และสะสมให้หัวใจต้านรับกับแรงกระทบได้มากขึ้น
“ตอนทำงานใหม่ๆ ช่วงแรกวางใจไม่ถูก ช่วงที่ทำเรื่องตรวจสารเคมีในผัก มีคนบอกว่าเราขายชาติ รับเงินต่างชาติ จะทำให้ระบบเกษตรล่มสลาย คำเหล่านี้ได้ยินบ่อยมาก มันบั่นทอน ก็เซๆ ไปพักนึงนะ เพราะความหมายของเราไม่ใช่แบบนั้น
“แนนได้เรียนรู้ตัวเองผ่านงานเยอะมาก ได้เห็นทั้งความกลัว ทั้งความเชื่อของตัวเอง ได้เห็นมุมที่เราไม่เคยสัมผัส อาจจะทั้งก้าวร้าว ทั้งมุมที่รู้สึกอ่อนไหว แต่มันทำให้เรากลับมาเข้าใจตัวเองมากขึ้น และชัดเจนว่าอะไรทำให้เราอยู่ในงานนี้ได้ถึงสิบปี
“เวลาทำงานแนนจะแยกเรื่องงานออกจากตัวเอง หมายความว่าเราไม่ได้ทำงานเพื่อพิสูจน์การยอมรับในตัวเอง แต่เป็นการทำงานเพื่อทำงาน หรือถ้าพูดง่ายๆ คือเป็นการทำหน้าที่ตามธรรมะ ดังนั้นเมื่อมีเรื่องกระทบ คือฟีดแบ็กจากการทำงาน ไม่ได้เกี่ยวกับตัวตนของเรา คือเราไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
“ในขณะที่การทำงานเมื่อมีฟีดแบ็กเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องทำคือ ดูว่าอิมแพคมันเป็นไปอย่างที่เราตั้งใจไหม หากไม่ สิ่งนั้นเกิดขึ้นจากอะไร มีอะไรที่เราทำเพิ่มได้อีก หรืออะไรที่เรายังไม่ได้ทำ โดยส่วนตัวจากการที่ผ่านประสบการณ์ทั้งที่โอเคและไม่โอเค ประกอบกับได้มีโอกาสอบรมและเรียนรู้ด้านภายในของตนเอง แนนคิดว่าสิ่งที่ตัวเองยึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิตส่วนตัวและเรื่องงานคือ
“หนึ่ง-ทุกคนมีคนมีศักยภาพแบบไร้ขีดจำกัด สอง-ทุกคนทำดีที่สุดแล้วเท่าที่มีทรัพยากรอยู่ขณะนั้น สาม-ทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ และสี่-ความล้มเหลวไม่มีจริง มีแต่เสียงฟีดแบ็กเพื่อให้เราพัฒนา แนนเชื่อในศักยภาพของผู้คน และเชื่อว่าหากเลือกได้ ทุกคนจะเลือกทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด”
ความรับผิดชอบและภารกิจที่โอบรับเอาไว้ในมือนั้นหนักหนาไม่ใช่น้อย เพราะการจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างที่ใจหวังนั้นยังต้องใช้เวลาและแรงกายอีกมหาศาล นอกเหนือจากแรงใจที่มีอยู่แล้วเต็มเปี่ยม แต่เมื่อถามถึงภาพฝันของปลายทางที่เธออยากเห็น จากเรื่องบู๊และบุ๋นที่ทำมาตลอดสิบปี ปรกชลกลับพาเราเห็นภาพที่แสนจะง่ายงาม
“ภาพฝันที่เราอยากเห็น มันเป็นเรื่องง่ายมากเลย คือคนแฮปปี้เรื่องกินเรื่องอยู่ ต้องหลากหลาย และเราต้องเลือกได้เอง ไม่ใช่เลือกแบบถูกบังคับให้เลือกโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”