ผลกระทบต่อร่างกายจาก 3 สารเคมีอันตรายในการเกษตร
แม้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะช่วยให้เกษตรกรสามารถสร้างผลผลิตออกมาจำหน่วยได้มากมาย แต่ผลกระทบที่มาจากสารเคมีเหล่านี้ ก็ได้ส่งผลต่อสุขภาพของเกษตกรด้วยช่วยเดียวกัน นอกจากนี้ บรรดาสารเคมีดังกล่าวยังสร้างพิษภัยให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วยอีกต่างหาก
ในประเทศไทย จากข้อมูลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พบว่า ในปี 2559-2562 มีผู้เสียชีวิตจากการได้รับสารเคมีกำจัดศัตรูพืช อาทิ ยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟตและคาร์บาเมต ยาฆ่าหญ้า และยาฆ่าเชื้อรา รวมทั้งสารเคมีทางการเกษตรอื่นๆ จำนวนกว่า 2,000 ราย
ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ป่วยเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชกว่า 4,000 คนต่อปี และมีการเบิกค่ารักษาพยาบาลปีละกว่า 20 ล้านบาท
ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า แม้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต จะถูกแบนไปแล้วในหลายประเทศ รวมทั้งไทย แต่ปัจจุบันกลับยังพบการใช้อยู่ และยังส่งสร้างผลกระทบในเชิงสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะยาฆ่าหญ้า ‘สารพาราควอต’ ที่เมื่อสัมผัสทางผิวหนังจะเกิดแผลพุพอง กรณีเรื้อรังจะเกิดพิษรุนแรง ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและไตวายด้วย
นอกจากนี้ การสัมผัสสารพาราควอตยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันสูงถึง 250% แถมเป็นต้นตอของการเกิดโรคภูมิแพ้ตัวเอง โรคผิวหนังแข็ง รวมถึงโรงมะเร็ง โดยฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอีกต่างหาก และที่น่าตกใจคือ มีการใช้พาราควอตเพื่อฆ่าตัวตายมากขึ้นร้อยละ 20-25
ส่วนยาฆ่าแมลง ‘สารคลอไพรีฟอส’ มีรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียพบว่า ทำให้เด็กสมองฝ่อ เนื้อสมองบางลง และผิดรูปในบริเวณที่ควบคุมสมาธิ การเรียนรู้ภาษา การรับรู้ทางสังคม การควบคุมอารมณ์และการยับยั้งชั่งใจ รวมไปถึงเป็นสาเหตุให้เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคซึมเศร้า และฆ่าตัวตายได้ในที่สุด
เช่นเดียวกับสารกำจัดวัชพืช ‘ไกลโฟเซต’ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้มากที่สุดในโลก สารชนิดนี้จะทำให้สารอาหารและแร่ธาตุในพืชผักลดลง ลดการดูดซึมแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ อีกทั้งไปทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ทั้งในดินและในลำไส้ของผู้คนด้วย
ซึ่งก่อให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง สมองเสื่อม ไขมันผิดปกติ โรคตับแข็ง และโรคไตวาย ไตเสื่อม รวมทั้งทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคออทิสซึมในเด็กสูงขึ้น ที่สำคัญคือ ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคมะเร็ง ทำให้ระบบการป้องกันร่างกาย และทำลายสารพิษในร่างกายเสียหาย
สำหรับทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการเลิกใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้นั้น ไม่ได้หมายความว่าให้ใช้สารเคมีอื่นมาทดแทน แต่เป็นการร่วมมือร่วมใจนำองค์ความรู้ที่มี ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลักดันให้เกิดการปฏิวัติอาหารขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องสนับสนุนให้เกิดระบบเกษตรอินทรีย์มากกว่าเดิม รวมทั้งส่งเสริมและให้ความรู้เรื่องอาหารปลอดภัย การดูแลสุขภาพแบบธรรชาติบำบัด ลดการใช้ยารักษา เพิ่มอาหารการกินที่ดี และสร้างสุขภาวะที่ดีในระยะยาวของทุกคน