6 วิธีรับมือเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง ของตัวแทนกลุ่มเกษตรกรจากทุกภูมิภาคทั่วไทย

happy farmer watering his plants edited Gindee Club กินดี คลับ

หลายปีมานี้ ทุกคนต่างสัมผัสได้โดยไม่ต้องใช้มาตรวัดว่าโลกเราอุณหภูมิสูงขึ้น สภาพอากาศเกิดการแปรปรวนและเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรไปทั่วโลก ทั้งผลผลิตลดน้อยลง คลังอาหารสั่นสะเทือน วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ รวมถึงรายได้ของเกษตรกรเริ่มมีปัญหา หนทางรอดเพียงหนึ่งเดียวคือ การปรับตัวให้เร็วขึ้น ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่

เพื่อให้เห็นแนวทางที่ชัดเจนขึ้น มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน จึงได้จัดงานสัมมนา ‘เกษตรนิเวศกับความหลากหลายทางชีวภาพ’ ขึ้น ในงานมหกรรมพันธุกรรมพื้นบ้าน ปี 2566 ณ บ้านสวนซุมแซง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2566

โดยมีตัวแทนเครือข่ายกลุ่มเกษตรทั้ง 5 จังหวัด นำเสนอวิธีการรับมือที่น่าสนใจ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พบเจอจากสภาพภูมิอากาศที่ย่ำแย่ของแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นแนวทางให้เกษตรกรรายย่อยอื่นๆ นำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ต่อไป

#ปลูกป่าร่วมยาง แนวทางการปรับตัวเชิงเกษตรนิเวศ โดยจุฑาธิป ชูสง ตัวแทนจากเครือข่ายฯ ภาคใต้

“ในช่วงสองปีมานี้อากาศแล้งมากขึ้น และเมื่อมาเจอกับ ‘ฝนดก’ หรือฝนตกมากกว่าปกติเมื่อปีที่ผ่านมา จากวิกฤติภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้จำนวนของวันที่ออกกรีดยางน้อยลง และปริมาณยางที่กรีดได้ก็ลดลงน้อย ทางรอดของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราคือ ‘การปรับตัว’ และการมองหาวิธีสร้างความยั่งยืนให้ได้ภายใต้การเปลี่ยนไปของฤดูกาล

“เริ่มจากการเปลี่ยนจากสวนยางอย่างเดียว ให้เป็นป่าร่วมยาง เพิ่มพื้นที่ป่า และเน้นการปลูกพืชเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับระบบนิเวศ เช่น การปลูกไม้ใช้สอยอย่างไม้ตะเคียง การปลูกพืชผักสวนครัวและพันธุ์พืชท้องถิ่นอย่างดอกดาหลา เพื่อการบริโภคและจำหน่ายในท้องถิ่น ที่สามารถสร้างรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จากการกรีดยาง

“อีกทั้งพืชบางชนิดยังสามารถป้องกันการชะล้างหน้าดิน ช่วยกักเก็บธาตุอาหารในดินไว้ในสวนมากขึ้น ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นมากขึ้น ส่งผลต่อปริมาณน้ำยางให้เพิ่มมากขึ้น อีกด้านต้องมีการลดต้นทุนด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากพืชผักเศษอาหารในครัว มีระบบเครือข่ายเกษตรยั่งยืนด้วยโมเดล ‘สวนยางยั่งยืน’ เช่น ปลูกยางเพียง 40 ต้น แล้วปลูกพืชหรือปลูกผลไม้ชนิดอื่น หรือทำปศุสัตว์เพิ่มเติม ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่โปรแกรมที่สามารถนำไปใช้ในพื้นที่สวนยางทางภาคใต้ได้”

ทางด้านเสาวนีย์ สุทธิชล หนึ่งในเกษตรกรเครือข่ายภาคใต้ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “สำหรับเกษตรกร คำตอบของความยั่งยืนคือ การทำเกษตรแบบวิถีชีวิต ไม่ใช่การทำเกษตรเพื่อสร้างงาน อย่าง ‘กองทุนยาไส้ยาใจ’ กองทุนที่สร้างคลังสำรองเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านเพื่อการพึ่งตนเอง ช่วยระบบนิเวศให้กับกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม และยังส่งต่อให้กับคนรุ่นหลังได้”

man taking care his farm close up edited Gindee Club กินดี คลับ

#ระบบสวนป่านาข้าวบนดอย รูปแบบการรับมือที่ยั่งยืนท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยชัยรัตน์ แสงสรทวีศักดิ์ ตัวแทนจากเครือข่ายฯ ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่

“เมื่อสามสิบปีก่อน อุณหภูมิช่วงหน้าหนาวเคยติดลบ 4 องศาฯ ตอนกลางวันในช่วงหน้าร้อนไม่เกิน 28 องศาฯ ปัจจุบันในช่วงฤดูหนาวเหลือเพียงติดลบ 0 องศาฯ ฤดูร้อนอุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 35 องศาฯ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงส่งผลการเติบโตต่อพืชและผลไม้เมืองหนาว อย่างลูกพีชเมื่อก่อนมีผลผลิตจนล้นตลาด แต่ในปัจจุบันมีตลาดรองรับแต่กลับปลูกไม่ได้ เนื่องจากอากาศที่สูงขึ้น ทำให้ออกแต่ใบ แต่ไม่สามารถออกดอกเพื่อเกิดเป็นผลผลิตได้

“ทำให้เราต้องยกเลิกการปลูกพีชไปอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันฤดูกาลที่เปลี่ยนไป เช่น ฝนมาเร็วกว่าปกติ ก็จะส่งผลต่อปริมาณที่ลดลงและคุณภาพของผลผลิต โดยเฉพาะสตรอว์เบอร์รี่ สาลี่ ลูกพลับ และอะโวคาโด้สายพันธุ์แฮช

“ฟาร์มของเราปรับตัวด้วยรูปแบบของการปลูกพืชหลากหลายชนิด ในพื้นที่ทั้งหมด 19 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกไม้ใช้สอย อย่างไม้เกี๊ยะหรือต้นสนประมาณ 1 ไร่ สร้างบ้าน 1 ไร่ ที่เหลือจะปลูกผลไม้เมืองหนาวสลับกันไป ร่วมกับการปลูกข้าวไร่บนดอยแบบหมุนเวียน

“เน้นการเพิ่มพื้นที่ป่า ไม่ใช่การถางป่าเพื่อการเพาะปลูก สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เพื่อผลผลิต จำนวนของรายได้ หรือการมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมบนดอยเท่านั้น แต่เรายังได้สุขภาพที่ดีคืนมา เพราะพื้นที่เกษตรของเราอยู่ที่สูง เป็นเกษตรอินทรีย์ และมีปริมาณพรรณไม้จำนวนมากนั้น มีส่วนช่วยดูดซับหมอกควันและกรองฝุ่นที่เป็นปัญหาได้”

#สร้างระบบเกษตรนิเวศโคก เพื่อการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศ และเพื่อให้ครอบครัวอยู่ต่อได้อย่างยั่งยืน โดยทิพย์อักษร มันปาติ ตัวแทนจากเครือข่ายฯ ภาคอีสาน

“โดยส่วนใหญ่พื้นที่ของภาคอีสานจะ ‘ป่าโคก’ หรือป่าเต็งรัง ต้นไม้ส่วนใหญ่จะเป็นต้นจิก ต้นเต็ง ต้นรัง บนพื้นที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับครอบครัว จึงต้องทำเกษตรแบบระบบนิเวศโคกขึ้น

“ยกตัวอย่างครอบครัวพี่น้อย (เกษตรกรในเครือข่าย) มีพื้นที่รวมกับของญาติทำการเกษตรทั้งหมด 80 ไร่ แบ่งเป็นป่าโคกประมาณ 33 ไร่ อีกเกือบครึ่งหนึ่งแบ่งเป็นนาข้าว ของพี่น้อยเอง 9 ไร่ เน้นปลูกกินในครอบครัว และปลูกข้าวทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ซึ่งมีทั้งปลูกระยะสั้น ระยะยาว เพื่อลดความเสี่ยงต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน ที่เหลืออีกส่วนเป็นพื้นที่สวนในวงล้อมของป่าโคก

“สิ่งที่ครอบครัวพี่น้อยใช้รับมือการสภาพอาการศที่เปลี่ยนแปลงคือ การเพิ่มพืชพันธุ์อาหารในสวนให้มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการปลูกผักติ้ว ผักหวาน ดอกกระเจียว นอกจากนี้ระบบเกษตรนิเวศโคกยังช่วยลดอุณหภูมิได้ถึง 4 องศาฯ และช่วยพลางแสงให้กับพืชพันธุ์ได้

“ส่วนการสร้างระบบน้ำในสวนป่าโคก จะใช้วิธีเจาะน้ำบาดาล และติดแผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าเพื่อสูบน้ำขึ้นมาใช้ในพื้นที่สวน ทั้งยังมีการปรับปรุงดินด้วยการใช้ปุ๋ยคอก เพื่อให้สามารถปลูกพืชชนิดใหม่ๆ ในโคกได้ การปลูกพืชที่หลากหลายสามารถช่วยลดค่าอาหารได้ 1-2 วันต่อสัปดาห์ มีผัก ผลไม้ แมลง ตามฤดูกาลให้เก็บกิน ที่สำคัญยังเป็นการส่งต่อคลังอาหารให้กับลูกหลานในอนาคตได้ในวันที่อากาศเปลี่ยนไป”

#ปลูกป่าเป็นแนวกันลม เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่อดิพงษ์ บุตสุริย์ ตัวแทนจากเครือข่ายฯ ภาคอีสาน จังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า

“พื้นที่อีสานมักเจอกับภาวะแล้งซ้ำซาก น้ำไม่พอ ฝนก็ไม่ตก ลมก็แรง เราจึงต้องสร้างนิเวศในบ้านให้น่าอยู่ ด้วยการปลูกไม้ยืนต้นให้เป็นป่า และเป็นไม้เศรษฐกิจด้วย เช่น ไม้ยูง ไม้ยาง ไม้เต็ง เพื่อเป็นแนวกันลม และใต้ต้นไม้จะปลูกกาแฟ ผักหวาน และมะนาว

“ส่วนรูปแบบของการปลูกต้นไม้ บริเวณนอกรั้วบ้านจะต้องปลูกให้ถี่ พื้นที่ด้านในบ้านปลูกตามเส้นตะวันให้ห่าง เพื่อให้มีช่องว่างให้แสงแดดส่องลงมาถึงพื้นดิน ใช้เวลากว่า 8 ปีก็สามารถขจัดปัญหาเรื่องลมแรงไปได้อย่างสิ้นเชิง ทำให้เราสามารถปรับตัวและมีรายได้จากผลผลิตและการแปรรูป นอกจากนี้ยังเกิดผลพลอยได้อื่นๆ เช่น เห็ดเติบโตตามฤดูกาล หรือไข่มดแดงจากมดแดงที่มาทำรังบนต้นไม้ใหญ่ ทำให้เราอยู่ได้แบบพอมีพอกิน”

fresh vegetables grow organic garden generated by ai edited Gindee Club กินดี คลับ

#การทำเกษตรอินทรีย์เน้นความหลากหลาย โดยนันทวัน หาญดี ตัวแทนจากเครือข่ายฯ ภาคตะวันออก

“ทุกวันนี้อากาศแห้งแล้งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการทำเกษตรในพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังส่งผลต่อผลผลิต ทำให้เกิดโรคระบาด รวมทั้งต้นหญ้าเติบโตเร็วกว่าปกติ ดังนั้นทางเครือข่ายจึงได้ใช้ ‘ระบบเกษตรอินทรีย์ในนาข้าว’ เน้นการปลูกพืชคลุมดิน ปลูกพืชหมุนเวียน ปลูกผักผลไม้แบบผสมผสาน ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และการอนุรักษ์ระบบนิเวศตามธรรมชาติ แต่ก็ยังสู้อากาศที่แปรปรวนไม่ได้

“เกษตรกรในพื้นที่จึงต้องปรับตัวกันอีกครั้ง ด้วยการปรับพันธุ์พืชเพื่อการเพาะปลูกที่ทนแล้งมากขึ้น ปรับปรุงแหล่งน้ำในฟาร์ม ใช้ระบบการกระจายน้ำแบบประหยัด ปลูกพืชในโรงเรือน ปรับเปลี่ยนช่วงเวลาการเพาะปลูก และการเก็บเมล็ดพันธุ์พืชสำรอง เพื่อเพาะปลูกในช่วงฤดูกาลที่แตกต่างกัน

“และยังใช้วิธีการปลูก ‘ป่าครอบครัว’ เน้นการปลูกพืชผักพื้นบ้านในระบบฟาร์ม และปลูกไม้ผลในพื้นที่ของตัวเองให้มากขึ้น สุดท้ายใช้ ‘ระบบสวนรอบบ้านไม้ยืนต้นผสมพืชผัก’ ช่วยสร้างความหลากหลายของวิถีชีวิตชุมชน ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และมีรายได้จากผลผลิตรอบบ้านของตัวเองอีกทาง”

#เปลี่ยนข้าวนาปีเป็นนาปรังด้วยการตัดตอและปลูกพืชอายุสั้น โดยกนกพร ดิษฐ์กระจันทร์ ตัวแทนจากเครือข่ายฯ ภาคกลาง จังหวัดสุพรรณบุรี

“เราส่งเสริมให้เครือข่ายทำระบบเกษตรแบบรั้วกินได้ เน้นการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนในชุมชนและเกษตรกรท้องถิ่น ด้วยการปลูกผักพื้นบ้านไว้กินเองและจัดจำหน่าย มีเมล็ดพันธุ์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ข้าว หรือเมล็ดพืชผักท้องถิ่น หลีกเลี่ยงการพึ่งพาจากข้างนอก เน้นการพึ่งพาตัวเอง เช่น การทำปุ๋ยหมักอินทรีย์จากวัชพืชในแหล่งน้ำตามธรรมชาติอย่างผักตบชวา นำกลับไปใช้ในนาหรือสวนของตัวเอง รวมทั้งพึ่งพากันและกันในท้องถิ่น

“ที่สำคัญเกษตรกรต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศและฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันได้ เช่น การปลูกพืชอายุสั้น เน้นผักใบที่ให้รายได้รายวัน ด้วยการทำโรงเรือนบนพื้นที่สูงที่น้ำท่วมไม่ถึง หรือการปลูกผักสลัดแบบยกพื้น ร่วมกับการปลูกข้าวนาปรัง เพื่อเตรียมพร้อมหากเกิดน้ำหลาก และเมื่อช่วงที่น้ำท่วมกินเวลานานจนกลายเป็นน้ำท่วมขัง ชาวบ้านจะกลับมาใช้วิถีอยู่ร่วมกับน้ำแบบดั้งเดิม เช่น การจับปลา หากุ้งฝอย ทำกะปิ ทำปลาร้า หลังน้ำลด

“ส่วนการปรับตัวของชาวนาเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ภาคกลาง ต้องมีการคำนวณเวลาให้เก็บเกี่ยวข้าวให้ทันก่อนต้นเดือนกันยายนให้ได้ ด้วยการปลูกข้าวนาปรังอายุ 120 วัน เช่น ข้าวหอมปทุม ข้าวสุพรรณบุรี 1 (เหมาะทำเส้นขนมจีน) ข้าวพันธุ์พื้นบ้านอย่างข้าวตาเคลือบในรุ่นแรก และจะไม่ปลูกข้าวรอบสอง แต่จะใช้วิธีการตัดตอข้าวที่เกี่ยวแล้วให้งอกใหม่ในตอเดิมให้เร็ว

“จากนั้นเร่งใส่ปุ๋ยหมัก จุลินทรีย์ และฮอร์โมน เพื่อเก็บเกี่ยวข้าวให้ได้ภายใน 80-90 วันก่อนน้ำจะมา และที่สำคัญยังคงรักษาคุณภาพของข้าวได้อีกด้วย”

tag:

ผู้เขียน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscribe

ติดตามข่าวสาร Gindee Club

About Gindee Club

Connect us

Copyright © 2023 Gindee Club. All right reserved.