โรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กสุขภาวะ กุญแจสู่สุขภาพที่ดีของเด็กๆ จ.ชัยภูมิ
แม้ “อาหาร” ในมุมมองของบางคนอาจเป็นเพียงสิ่งที่กินเข้าไป แล้วทำให้ร่างกายเจริญเติบโต แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเข้าใจถึงความหมายและคุณค่าของอาหาร กว้างกว่านั้นค่อนข้างมาก
เพราะอาหารถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพมากที่สุด หากเราได้กินอาหารที่ดี อาหารเหล่านั้นก็จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ช่วยชุบชูร่างกายให้แข็งแรง สดใส แต่หากเรากินอาหารที่ไม่ดี อาหารเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากยาพิษ ที่ให้โทษต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะการเป็นตัวการทำให้เกิดโรคในกลุ่ม NCDs ที่มีผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโรคในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นกระทั่ง ‘เด็ก’
ในปัจจุบัน มีข้อมูลที่น่าเป็นห่วงพบว่า เด็กที่อยู่ในภาวะอ้วนและอ้วนเกินค่ากำหนดเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กอยู่ในภาวะอ้วนนั้น ก็มาจากการกินอาหารที่ไม่ดี และกินผักผลไม้ไม่เพียงพอ
ด้วยเหตุผลนี้เอง โครงการพัฒนาโรงเรียนสุขภาวะและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสุขภาวะ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายจังหวัดชัยภูมิ ต้นแบบลดอ้วน ลดพุง ลดโรคด้วยผักผลไม้ปลอดภัยจึงเกิดขึ้น ภายใต้การสนับสนุนของ สสส.
สุขภาวะที่ดีและยั่งยืน ต้องเริ่มต้นจากเด็กๆ
การพัฒนาโรงเรียนสุขภาวะและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสุขภาวะ เปรียบเหมือนกุญแจดอกสำคัญในการนำพาเด็กและคนในชุมชนไปสู่เป้าหมายของการมีสุขภาพดี
เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนหรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจะสามารถเชื่อมโยงการดูแลอย่างต่อเนื่องกับผู้ปกครอง เป็นหลักการดำเนินการที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพ และสร้างความยั่งยืนที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัวตามมา
ดร.ดวงใจ วิชัย อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ผู้ดำเนินการโครงการพัฒนาโรงเรียนสุขภาวะ และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสุขภาวะ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายจังหวัดชัยภูมิ ต้นแบบลดอ้วน ลดพุง ลดโรคด้วยผักผลไม้ปลอดภัย เล่าถึงกระบวนการทำงานว่า โครงการนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นโมเดลเริ่มต้น ด้วยการเริ่มจากโรงเรียน เพราะเป็นสถานที่ที่สามารถดำเนินการได้ง่าย มีงบอาหารกลางวันรองรับ นักเรียนอยู่รวมกัน มีครูคอยดูแล ซึ่งทางโครงการฯ จะอบรมครู แม่ครัว และเด็กเรื่องการกินผักผลไม้ปลอดภัย รวมถึงการลดหวานมันเค็ม
จากนั้น ในระยะที่ 2 จะขยับไปที่ศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งจะมีการปูพื้นฐาน รวมถึงเริ่มขยายมาที่ผู้ปกครอง เด็กๆ ปลูกผักเหลือให้นำกลับไปที่บ้าน เพื่อให้ผู้ปกครองประกอบอาหาร
ส่วนในระยะที่ 3 จะเน้นไปที่เด็กโต ระดับมัธยมศึกษา และขยายไปสร้างโรงเรียนต้นแบบในทุกอำเภอของจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งตอนนี้มีโรงเรียนต้นแบบทั้งหมด 48 แห่ง โดยการดำเนินโครงการระยะที่ 3 นี้ ทำขึ้นช่วงปี 2563 และได้พบว่า เด็กที่อยู่ในภาวะอ้วนจะอยู่ในช่วงวัยมัธยมศึกษามากที่สุด
เพราะกินผิด ชีวิตเด็กๆ ถึงเปลี่ยน
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เด็กมีภาวะอ้วน ดร.ดวงใจ อธิบายว่า มาจากเรื่องระบบอาหาร ซึ่งการกินอาหารในปัจจุบันของนักเรียน นอกจากจะกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์แล้ว ยังกินเกินด้วย นอกจากนี้เทรนด์การกินอาหารบุฟเฟต์ที่ได้รับความนิยมทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ก็ทำให้เกิดการกินเยอะ แถมยังมีเครื่องดื่มอย่างน้ำหวาน รวมถึงชา กาแฟที่มีเน้นความหวานให้เข้าถึงได้ง่าย
ไม่ใช่แค่การกินมากเกินไปเท่านั้น คุณภาพความปลอดภัยของอาหารยังเป็นสิ่งที่มักไม่มีใครให้ความสำคัญ ซึ่งการทำโครงการฯ ทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจัยสำคัญ คือ การผูกขาดของบริษัทน้ำหวานที่เข้าไปจำหน่ายในโรงเรียน เรียกได้ว่า เป็นปัญหาเชิงธุรกิจที่แทรกซึมอยู่ในโรงเรียนเยอะมาก
การร่วมแรงร่วมใจทุกภาคส่วนอย่างมีเป้าหมาย คือ การแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด ต้องใช้วิธีการแก้ไขในแบบที่เป็นภาพใหญ่ โดยการอาศัยเครือข่าย หน่วยงานต่างๆ ลงพื้นที่พูดคุย ให้ความรู้ เพื่อการแก้ไขได้อย่างถูกเป้าหมาย และทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างเข้มข้น
ตลอดระยะเวลาที่ทำงานกับเด็ก ทั้งในเด็กเล็ก เด็กระดับประถมศึกษา และเด็กโตระดับมัธยมศึกษา ผู้ดำเนินโครงการสรุปว่า ในเด็กระดับประถมศึกษาประสบความสำเร็จมากที่สุด เนื่องจากอยู่ในวัยที่เชื่อฟังครู และเป็นระดับชั้นที่มีงบประมาณอาหารกลางวัน จึงดำเนินการได้ง่าย ส่วนแผนต่อจากนี้จะต้องขยายการให้ความรู้ด้วยการบรรจุลงในหลักสูตรการเรียนการสอน
ทั้งนี้ ทั้งหมดที่ทำให้โครงการฯ ประสบความสำเร็จได้ คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจ การดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย และมีองค์ความรู้ รวมถึงกระบวนการทำงานที่ชวนหลายภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งนับเป็นการขับเคลื่อนที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ สามารถปูพื้นฐานการมีสุขภาพที่ดีให้กับชาวชัยภูมิได้