‘มะพร้าวน้ำหอมลุงวิทยา’ กับความตั้งใจที่มากกว่าการเป็นผลผลิตปลอดเคมี

‘มะพร้าวน้ำหอมลุงวิทยา’ กับความตั้งใจที่มากกว่าการเป็นผลผลิตปลอดเคมี

ในแวดวงเกษตรอินทรีย์ หรือตลาดเขียว คงไม่มีใครไม่รู้จัก ลุงวิท หรือวิทยา เลี้ยงรักษา เจ้าของ สวนป่ามะพร้าวลุงวิท แห่งเมืองนครปฐม

ภาพลุงวิทและป้านุ้ยผู้เป็นภรรยา นั่งเฉาะมะพร้าวให้ลิ้มชิมรสน้ำสดๆ หอมหวานละมุนจากธรรมชาติ เนื้อมะพร้าวนุ่มปลอดสารพิษ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Organic Agriculture Movements หรือ IFOAM) พร้อมกับพูดคุยยิ้มแย้ม แลกเปลี่ยนเรื่องเล่ากับลูกค้าที่แวะเวียนมาอุดหนุน เป็นความประทับใจทุกครั้งเมื่อเราไปเยือนตลาดเขียว ที่มักเจอสองสามีภรรยาคู่นี้นำมะพร้าวอินทรีย์ไปให้เราได้กินกันถึงที่

“หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลาดเขียวกลับมาแล้ว แต่ผู้บริโภคยังไม่กลับมาคึกคักเหมือนเดิม อาจเพราะคนมีกำลังซื้อน้อยลง อย่างวันนี้ก็คนไม่มาก” ลุงวิทตั้งข้อสังเกตว่า หากตลาดเขียวไม่จัดกิจกรรมหรือโปรโมต คนจะมาเดินไม่เยอะ แต่เขาเองก็ยังออกบูธขายมะพร้าวอินทรีย์ในตลาดเขียวอยู่สม่ำเสมอ ในหลายตลาดที่จัดโดยภาคีเครือข่าย สสส.

ซึ่งหลายตลาดได้กลับมาเปิดแล้ว เช่น City Farm Market ของสวนผักคนเมือง ไทรม้า นนทบุรี ตลาดปันอยู่ปันกิน พิกัดร้านปลาออร์แกนิก ซอยวิภาวดีรังสิต 22 ที่เน้นขายออนไลน์ด้วย รวมถึง Greenery Market ในสวนข้างศูนย์หนังสือจุฬาฯ ที่เรามาเจอลุงวิทในวันนี้

“ถ้าเราไม่ได้มาขายที่ตลาดเขียว เราก็อยู่ไม่ได้ คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์หรือออร์แกนิก สินค้าของเราแตกต่างจากตลาดทั่วๆ ไป สมัยตอนทำแรกๆ ไม่ได้คิดว่าแตกต่างนะ แต่พอทำแล้วก็ได้เห็นว่าดินมันมีชีวิตขึ้น ทำให้มะพร้าวให้ผลที่ไม่คาดคิด รสชาติดี อร่อย และปลอดภัย

“ในความคิดของเรา ตลาดเขียวยังเป็นตลาดที่คัดสรรพ่อค้าแม่ค้า และสินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารเคมี เป็นตลาดที่น่ารัก พ่อค้า แม่ค้าพูดเก่งอธิบายเก่งทุกคนเลย เพราะเราต้องทำความเข้าใจกับคนที่มาตลาด บอกให้เขารู้ถึงประโยชน์และคุณค่า เมื่อเขาเห็นประโยชน์ เขาจะสนับสนุนเรา ถ้าเขาอุดหนุนเรา เราก็จะอยู่ได้”

ลุงวิทขายมะพร้าวมานานตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามาในแวดวงตลาดเขียว เขายกตัวอย่างเมื่อสิบปีก่อนที่เคยนำมะพร้าวไปขายในตลาดดังที่นักท่องเที่ยวชอบไปเดิน แต่ปรากฏว่ายอดขายไม่ดีอย่างที่น่าจะเป็น เหตุผลก็เพราะว่า “เราไม่มีโอกาสได้บอกว่าของเราดียังไง แม้เราจะบอกว่าอร่อย แต่ก็ขายแทบไม่ได้”

การได้บอกเล่าที่มาดีๆ ของผลผลิตจึงเป็นการสร้างโอกาสการขายที่สำคัญ แต่นั่นหมายความว่า ตัวสินค้าเองก็ต้องมีคุณภาพดี มีที่มาที่ปลอดภัยด้วย เราถามลุงวิทว่า ทำไมไม่ขายออนไลน์ หรือแปรรูปสินค้า อย่างที่ผู้ผลิตหลายคนนิยมทำ เขาตอบกลับมาว่า การปลูกสวนป่ามะพร้าวแบบเกษตรอินทรีย์ ถ้าเทียบกับปลูกแบบเคมีแล้วมีรายได้มากกว่าทำอินทรีย์ แต่หากเทียบกับสิ่งที่ต้องแลกกันแล้ว ลุงวิทขอเลือกที่จะปลูกแบบอินทรีย์

“สำหรับเรา รายรับกับค่าใช้จ่ายพออยู่ได้ก็ดีแล้ว ไม่อยากส่งตลาดข้างนอกถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เรามีลูกค้าเก่าๆ แวะเวียนมาซื้อที่สวนบ้าง แต่ก็ไม่มากมาย พออยู่ได้ แต่ก็ภูมิใจเพราะเขาสามารถที่จะบอกได้เลยว่ามะพร้าวมาจากไหน และปลอดภัยแน่นอน เรามีความพยายามรวมกลุ่มกันด้วย แต่พอตลาดขายไม่ดี ก็จะเหลือคนที่ขายอยู่ในตลาดไม่กี่คน คนขายน้อย ลูกค้าก็หาย ถ้ามีการรวมกลุ่มทำให้จริงจัง ทั้งตลาดแบบออนไซต์และออนไลน์ จะช่วยพวกเราได้มาก”

ส่วนเรื่องการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ลุงวิทมองว่า “ถึงพ่อค้าจะได้เงิน แต่ผู้บริโภคไม่ได้ประโยชน์จากน้ำมะพร้าวเต็มที่เราก็ไม่อยากทำ เราอยากเฉาะเสิร์ฟให้ได้กินกันสดๆ ใช้หลอดจากก้านต้นอ้อที่เอามาจากในสวนแทนหลอดพลาสติก เตรียมช้อนสเตนเลสให้ขูดกินเนื้อมะพร้าวแล้วล้างนำมาใช้ซ้ำได้ ที่สำคัญไม่ใส่ถุงเพราะทำให้เกิดขยะพลาสติก เป็นเรื่องที่ต้องพูดต้องทำความเข้าใจ บริโภคยังไงให้อร่อยและเกิดประโยชน์ด้วย”

สวนป่ามะพร้าวลุงวิทยา ถือเป็นสมาชิกตลาดเขียวสายเขียวเข้ม เพราะไม่เพียงผลผลิตจะมาจากเกษตรอินทรีย์ 100% ที่สวนป่ามะพร้าว ยังคำนึงถึงระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมเป็นใหญ่ “เราสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ที่สุด ใช้วิธีจัดการแบบ zero waste สร้างอาหารให้กับมะพร้าว ทำให้เป็นเกษตรอินทรีย์ที่มีความยั่งยืน”

ทุกครั้งที่นำผลผลิตไปขายที่ตลาดเขียวทุกแห่ง ลุงวิทจะไม่เหลือขยะทิ้งไว้ที่ตลาดเลย เพราะเขาและภรรยาช่วยกันขนเอาเปลือกมะพร้าวกลับไปกองที่โคนต้นเหมือนเดิม หรือถ้ามีเศษขยะอินทรีย์ในตลาดก็เอากลับไปด้วย และทั้งหมดนั้นก็กลายเป็นปุ๋ยให้กับสวน เรียกว่าคืนสู่ดินอย่างแท้จริง

“คนตลาดเขียวต้องจริงจังกับการแยกขยะ สร้างขยะให้น้อยที่สุด ช่วยกันคิดช่วยกันทำให้เป็นตลาดที่คนมาแล้วก็อยากมาอีก เราน่าจะต้องเหนื่อยกันอีกเยอะ ทั้งการจัดระเบียบผู้ค้า สร้างความเข้าใจกับผู้บริโภค เมื่อมาซื้อของในตลาดเขียวต้องเตรียมตะกร้า ถุงผ้า และขวดน้ำมาด้วย เพื่อลดการใช้พลาสติก มีความเขียวในจิตวิญญาณจริงๆ ทั้งผู้ซื้อผู้ขาย”

การมีหัวใจสีเขียวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนทำอินทรีย์ก็คนธรรมดา ยังต้องใช้สินค้าอุปโภคบริโภคเหมือนคนทั่วไป แต่การที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการของตลาดเขียว ได้รู้จักเพื่อนพี่น้องที่หัวใจเดียวกัน ทำให้เกิดผลพลอยได้หลายอย่าง “ที่เห็นชัดคือ เราได้ของกินที่ดีๆ ได้ซื้อของดีๆ กลับบ้าน” และท้ายที่สุด ลุงวิทยังตั้งความหวังว่า สีเขียวจะถูกแต้มลงในใจทุกคนในสักวัน

tag:

ผู้เขียน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscribe

ติดตามข่าวสาร Gindee Club

About Gindee Club

Connect us

Copyright © 2023 Gindee Club. All right reserved.