4 เทคนิคจากคนทำจริง ที่ช่วยให้เกษตรอินทรีย์ได้ผลดีงาม
ในปัจจุบัน เราหลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การใช้สารเคมีในการทำเกษตรกรรมเป็นตัวการในการก่อให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสุขภาพและหนี้สินของเกษตรกรไทย รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลโดยตรงถึงผู้บริโภคด้วย
เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเช่นนี้ แล้วทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดควรอยู่ตรงไหน? วิธีการใดที่จะจัดการเปลี่ยนแปลงเกษตรขนาดใหญ่ได้บ้าง? การทำเกษตรอินทรีย์คือทางรอดจริงหรือไม่?
เพื่อทำความกระจ่างให้เกิดขึ้น เรามีคำตอบจาก 4 เกษตรกรอินทรีย์แปลงใหญ่ทั่วไทย กับ 4 เทคนิคการทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้ผลมากฝาก ซึ่งนี่ถือเป็นบทสรุปที่น่าสนใจจากเวทีสาธารณะ องค์ความรู้ในการจัดการศัตรูพืช โดยไม่พึ่งพาสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ป้องกันศัตรูพืชในแปลงทุเรียน ด้วยสารชีวภัณฑ์
ภคิน ทองเพชรบูรพา เจ้าของสวนทุเรียนและผลไม้อื่นๆ บนพื้นที่กว่า 50 ไร่ ในอำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง หนึ่งในเกษตรกรอินทรีย์ ผู้ปลูกทุเรียน ลองกอง มังคุด เงาะ และพืชสมุนไพร ด้วยระบบอินทรีย์มาตั้งแต่ปี 2548 เปิดเผยว่า
“การปลูกทุเรียนอินทรีย์มักจะเจอปัญหาเรื่องความชื้น ส่งผลให้เกิดเชื้อราและโรคพืช แต่ทุกอย่างแก้ไขและป้องกันได้ด้วยการใช้สมุนไพรหมัก อาทิ ใบน้อยหน่าหมัก ซึ่งป้องกันแมลง 6 ขา เพลี้ยอ่อน ตั๊กแตน ด้วงปีกแข็งและหนอนใยผัก ขณะที่ใบชะพลู กับบอระเพ็ดก็ป้องกันไวรัสในพืชได้
ส่วนการป้องกันเชื้อรา จะใช้ใบหมากหมัก ใช้สาบเสือจัดการหนอน เพลี้ยกระโดด หนอนเจาะต้น ด้านกะทกรกป่าช่วยจัดการเพลี้ยไฟไรแดงได้ดี เช่นเดียวกับตำลึงหมักที่ใช้ปรับสมดุลให้กับพืช ข่าช่วยเสริมแคลเซียมและโบรอน อีกทั้งยังช่วยป้องกันแมลงวันทอง ด้วงเต่าทอง และเพลี้ยแป้งด้วย
นอกจากนี้ ตะไคร้หอมก็ใช้ป้องกันเพลี้ยอ่อนได้ อีกหนึ่งที่น่าสนใจคือ ฝักคูน ตัวช่วยจัดการกับพวกตระกูลหอยที่อยู่ในดิน หลักการฉีดน้ำหมักก็คือ ทุก 3 วัน 5 วัน และ 7 วัน ตามแต่ละช่วงของการเจริญเติบโต
ในขณะที่การดูแลแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ บำรุงต้น บำรุงดอกเร่งตาดอก บำรุงผลเร่งลูก ด้วยการใช้น้ำหมักเพื่อเติมสารอาหาร อาทิ น้ำปลาหมักและเนื้อมะพร้าวหั่นเป็นชิ้นหมักจะได้ไนโตรเจน น้ำหน่อกล้วยจะได้ฟอสเฟต น้ำนมหมักจะได้ฟอสฟอรัส เป็นต้น
ท้ายสุดก็จะได้ผลผลิตที่ดี แม้จะมีจำนวนน้อยกว่าเคมี แต่สามารถขายได้ในราคาที่ดีกว่า ตกกิโลกรัมละ 300 บาท แถมได้ความปลอดภัยต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศ
ให้สัตว์เลี้ยง ช่วยดูแลสวนปาล์ม
อภิเชษฐ์ หนูแบน แห่งสวนปาล์มอินทรีย์ อำเภอวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกษตรกรอินทรีย์รุ่นใหม่ที่สานต่องานจากรุ่นพ่อ และใช้สัตว์เลี้ยงอย่าง ไก่ เป็ด หมู วัว เข้ามาเป็นผู้ช่วย ให้ความรู้ว่า
แม้สมัยก่อน สวนปาล์มจะใช้ปุ๋ยเคมี แต่ก็ไม่เคยใช้ยาฆ่าหญ้า เพราะสารเคมีนี้จะไปทำลายรากพืช สร้างความเสียหายมากกว่าผลดี จึงใช้รถตัดหญ้ามาตลอด ต่อมา เจอเรื่องต้นทุนปุ๋ยที่สูง ทำแล้วได้กำไรน้อย จึงลองใช้วิธีเลี้ยงสัตว์ อย่างไก่ไข่ เป็ดไข่ หมู วัว เพื่อนำมูลมาทำเป็นปุ๋ยหมัก กำจัดวัชพืชด้วยการปล่อยให้ไก่และหมูเล็มหญ้าที่ได้ล้อมรั้วไว้ อีกทั้งยังนำเนื้อสัตว์ และไข่เป็ด ไข่ไก่ มาขาย แถมเอาทะลายปาล์มเก่ามาทำปุ๋ยอินทรีย์ด้วย
นอกจากนี้ ถ้าเจอศัตรูพืชอย่างด้วง ผีเสื้อกลางคืน หนอนหน้าวัวกินใบ อภิเชษฐ์จะใช้น้ำส้มควันไม้ น้ำหมักยาเส้นมาฉีดไล่ และใช้น้ำหมักอื่นๆ มาบำรุงผลอย่างสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ที่ออกมาเมื่อเทียบกับสวนเคมี 100% แล้ว ในเชิงปริมาณอาจสู้ไม่ได้ แต่หากมองในแง่ต้นทุน สวนอินทรีย์ใช้ต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งจุดนี้อาจทำให้ชาวสวนปาล์มเคมีเริ่มหันมาให้ความสนใจสวนแบบอินทรีย์มากขึ้น
ปลูกพืชอินทรีย์ผสมผสาน ในระบบเกษตรยั่งยืนเชิงพานิชย์
สมัย แก้วภูศรี เกษตรกรสวนมะม่วงอินทรีย์ อำเภอลี้ จังหวัดลําพูน เกษตรกรสูงวัย ซึ่งหันมาทำอินทรีย์ในปี 2547 จนปัจจุบัน สวนมะม่วงของเขาได้รับมาตรฐานออร์แกนิกไทยแลนด์ และมาตรฐานออร์แกนิกยุโรป ถ่ายทอดเทคนิคการทำเกษตรอินทรีย์อย่างได้ผลให้ฟังว่า
หัวใจของการทำเกษตรอินทรีย์มีอยู่สองเรื่องคือ
1) การให้ความสำคัญต่อระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เน้นดูแลดิน น้ำ ป่า เพื่อสร้างความอุดสมบูรณ์ในพื้นที่ และทำให้เกิดความหลากหลายของระบบนิเวศ และ
2) การปลูกพืชอินทรีย์แบบผสมผสาน ไม่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยต้องทำแนวรั้วต้นไม้ เพื่อเพิ่มปริมาณและความหลากหลายของแมลง ซึ่งจะช่วยลดชนิดของแมลงศัตรูพืชได้ นอกจากนี้ ก็มีการจัดการต้นหญ้าและวัชพืชด้วยการตัด ทับ และรดด้วยจุลินทรีย์เร่งการย่อยสลาย เพื่อให้ดินสมบูรณ์มากขึ้น ส่งผลให้เกิดความหลากหลายของจุลินทรีย์ วนกลับมาส่งเสริมให้ระบบนิเวศดีขึ้นนั่นเอง
ส่วนในเชิงพานิชย์ ผลผลิตอินทรีย์ก็ต้องขายได้ สามารถสร้างอาชีพที่ยั่งยืนได้ สิ่งสำคัญ คือ ต้องได้รับมาตรฐานออร์แกนิก กำหนดเป้าหมายหลัก รู้ว่าจะขายให้ใคร หรือมองหาช่องทางตลาดหลัก และต้องขายผลผลิตได้แม้ในท้องถิ่นของตัวเอง
จุดเริ่มต้นของเกษตรอินทรีย์ คือการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีมาตรฐาน
พศิน อุดมพันธุ์ เจ้าของสวนส้มอินทรีย์อุดมพันธุ์ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งหันมาพึ่งพาอินทรีย์ หลังเคยทำสวนส้มเคมีกว่า 120 ไร่ เล่าให้ฟังว่า การหักดิบ ทิ้งเคมี และมาพึ่งพาอินทรีย์ คือ ทางเลือกและทางรอดเดียวของเจ้าของสวนส้มขนาดใหญ่
ส่วนปัญหาในช่วงแรกที่การทำปุ๋ยหรือน้ำหมักอาจยังไม่เข้าที่ ก็มีทางเลือกที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ที่ดี ราคาย่อมเยา และได้มาตรฐานรับรอง เช่น จากของโครงการหลวง รวมไปถึงน้ำหมักหรือตัวทดแทนอื่นๆ ที่มีให้เลือกซื้อและใช้ค่อนข้างมาก หาซื้อได้จากกรมวิชาการเกษตรต่างๆ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนพร้อมที่จะให้ความรู้และคำแนะนำที่ดี
หลังจากนั้น ก็ต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่และพืชพันธุ์ของตัวเอง ก่อนจะทดลองผสมปุ๋ยและน้ำหมัก เพื่อให้เป็นสูตรเฉพาะที่สามารถใช้ในสวนของตัวเองต่อไป
ทั้งนี้ การทำเกษตรอินทรีย์สไตล์สวนส้มคือ เน้นการป้องกันเป็นหลัก ไม่เน้นการทำลาย เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ดี มีความหลากหลายของแมลงและสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ช่วยลดศัตรูพืชได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการป้องกันต้นหญ้าด้วยการเลี้ยงวัวให้เล็มหญ้า พร้อมๆ กับการเติมจุลินทรีย์เร่งการย่อยสลาย ทั้งมูลวัวและตอหญ้า เลี้ยงไส้เดือนเพื่อพรวนดินในสวน จนท้ายที่สุดก็ไม่ต้องเลี้ยง เพราะไส้เดือนจะกลับคืนสู่ดินในสวนที่ปราศจากเคมี พร้อมทำหน้าที่พรวนดินและเติมปุ๋ยให้