สภานโยบายอาหาร ฝังเมล็ดพันธุ์ความคิด ปลูกพลังการขับเคลื่อนระบบอาหารในท้องถิ่น
อาหาร คือ ผู้คน
คำกล่าวนี้หมายถึง อาหารคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนในสังคม และมีผู้คนหลากหลายที่เกี่ยวสัมพันธ์กันเพื่อหล่อเลี้ยงระบบอาหาร ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การขนส่งและจัดจำหน่าย การบริโภค ไปจนถึงการจัดการขยะ
เมื่อเกิดวิกฤติทางอาหาร ปัญหาที่หลายประเทศกำลังเผชิญและมีท่าทีที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ ความมั่นคงทางอาหาร อธิปไตยทางอาหาร ซึ่งสัมพันธ์กับมิติด้านสาธารณสุข แรงงาน ความยากจน การศึกษา ความเหลื่อมล้ำ ความเป็นธรรมในสังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ จึงหมายถึงผลกระทบที่มีต่อชีวิตผู้คนในสังคม แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้คนก็คือพลังสำคัญในการแก้ปัญหาในระบบอาหารเช่นกัน
ในการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการกระบวนการทำงานร่วมกัน ‘พื้นที่รูปธรรมสภานโยบายอาหาร’ เมื่อวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ 2566 มีผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อร่วมตั้งต้นและขับเคลื่อนแนวคิดสภานโยบายอาหารให้เกิดพื้นที่รูปธรรมขึ้นในประเทศไทยจากหลากหลายหน่วยงาน อาทิ ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ประธานกรรมการกำกับทิศทางแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. รศ.บำเพ็ญ เขียวหวาน อาจารย์ประจำภาควิชาเกษตรศาสตร์และสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
คุณวัลลภา แวน วิลเลียนส์วาร์ด ผู้รับผิดชอบโครงการบูรณาการยุทธศาสตร์แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ คุณอภิชญา โออินทร์ จากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และตัวแทนจากพื้นที่จังหวัดน่าน เชียงใหม่ สุราษฏร์ธานี และบุรีรัมย์ โดยตัวแทนแต่ละพื้นที่ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขที่มีในพื้นที่
จังหวัดเชียงใหม่
พื้นที่ที่มีปัญหาจากการทำการเกษตรพันธสัญญา หนี้สินของเกษตรกร มลภาวะฝุ่นควันจากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร และการปลูกพืชเชิงเดี่ยว มีการใช้สารเคมีในพื้นที่ต้นน้ำ เกิดการปนเปื้อสารพิษในอาหาร และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผู้บริโภคยังขาดความเข้าใจเรื่องอาหารปลอดภัย และต้นทุนที่สูงของการทำเกษตรอินทรีย์ ทำให้กลุ่มเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์มีเพียง 2% ของทั้งจังหวัด
ในขณะที่มีกลุ่มพยายามขับเคลื่อนเรื่องเกษตรอินทรีย์ อาทิ ภาคีเครือข่ายเขียวสวยหอม ส่งเสริมเรื่องแปลงปลูกผักในชุมชน กลุ่ม Slow Food สร้างการเรียนรู้เรื่องอาหารปลอดภัยและการบริโภคอย่างยั่งยืน การจัดตั้งสภาอาหารสุขภาพ แต่ยังขาดการบูรณาการระหว่างกลุ่ม และขาดการการขับเคลื่อนในระดับจังหวัด
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
พื้นที่ริมอ่าวไทยที่รุ่มรวยด้วยทรัพยากรและแหล่งอาหาร แต่ประสบปัญหาด้านบริหารจัดการทรัพยากรทั้งน้ำ ดิน ป่า ไม่ให้เสื่อมโทรมจากการใช้และบริโภคที่มากเกินพอดี รวมทั้งการใช้สารเคมีในการเกษตร สารพิษปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ ไหลลงอ่าวไทย และย้อนกลับเข้าระบบอาหารของมนุษย์ในจานซีฟู้ด
ซึ่งการใช้สารเคมีนั้นยังไม่มีกฎหมายควบคุม ประกอบกับเกษตรอินทรีย์ยังไม่มีมาตรฐานรับรอง ส่งผลให้สุดท้ายแล้วเกษตรอินทรีย์ไม่สามารถสู้ต้นทุนที่ต่ำกว่าของเกษตรเคมีได้ รวมทั้งชุมชนขาดความรู้ในการบริโภคอาหารปลอดภัย
ปัจจุบันสุราษฎร์ธานีมีการรวมกลุ่มสมัชชาสุขภาพเมืองคนดี เพื่อบูรณาการหลากหลายกลุ่มมาร่วมกันขับเคลื่อน โดยมีสาธารณสุขเข้ามาช่วยดูระบบอาหารปลอดภัยในโรงเรียน มาตรฐานการแปรรูป มีการสุ่มตรวจตลาด มีตลาดเกษตรกร ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน มีการเก็บข้อมูลเชิงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาเรื่องอาหารของในพื้นที่ และมีกลุ่ม Young Smart Farmer (YSF) ประมาณ 300 ราย ช่วยขับเคลื่อนให้มีมาตรฐานการแปรรูป และมาตรฐานความปลอดภัยในด้านอาหาร
จังหวัดน่าน
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ทำให้มีพื้นที่ที่ใช้ทำการเกษตรได้ไม่ถึง 10% ของพื้นที่ทั้งจังหวัด ในขณะที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร วิถีการเกษตรเปลี่ยนจากเกษตรเพื่อยังชีพมาเป็นอาชีพ จึงเน้นปลูกพืชเศรษฐกิจ เกิดเขาหัวโล้น และนำเข้าพืชผักและอาหารเพื่อบริโภคจากจังหวัดอื่น เกิดปัญหาฝุ่นควันจากการเผาซากพืช และการใช้สารเคมีทางการเกษตร ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของคนในจังหวัด
ปัจจุบันแนวทางการแก้ปัญหาในพื้นที่ มีทีมจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้แนวคิดสภานโยบายอาหาร สร้างพื้นที่ส่วนกลางในการชวนหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ มาตั้งวงคุยเพื่อหาทางออก ช่วยชุมชนสร้างโมเดลระยะสั้นและระยะยาว ผลักดันให้เกษตรอินทรีย์เป็นนโยบายระดับเมืองและประจำจังหวัด มีการให้ความรู้และแนะนำชนิดของพืชพันธุ์ที่สร้างรายได้สูงเป็นทางเลือกให้เกษตรกร สร้างกลไกตลาดที่รับซื้อเพื่อการันตีราคาสินค้าอินทรีย์ด้วยระบบ PGS
จังหวัดบุรีรัมย์
บุรีรัมย์เป็นเมืองแห่งอีเวนต์และกิจกรรมกีฬาหลากชนิด แต่ละปีมีผู้คนมาเยี่ยมเยือนเมืองหลายแสนคน ซึ่งมาพร้อมทรัพยากรที่พร้อมจ่าย เมืองจึงอยากพัฒนาระบบอาหารให้ยั่งยืน มีอาหารที่ดีเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน โดยตำบลลำนางรอง เป็นพื้นที่สุดขอบจังหวัด รายล้อมด้วยเขตอนุรักษ์ เขตป่าสงวน และเขตมรดกโลก มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ
ทีมบริหารมีความตั้งใจอยากพัฒนาเป็นพื้นที่นำร่องด้านการผลิตอาหารปลอดภัย โดยปัจจุบันเริ่มที่ในโรงเรียนในภายใต้สังกัดอบต.จำนวน 7 แห่ง โดยใช้วิธีสร้างครัวกลาง จัดการอาหาร วางแผนเมนู รับซื้อผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์จากชาวบ้าน และสร้างระบบติดตามที่มาของผลิตภัณฑ์อินทรีย์ได้
แต่ปัญหาที่ยังคงพบอยู่คือ ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่างหน่วยงาน การขาดความรู้ในการบริหารจัดการเงินของชาวบ้าน การขาดองค์ความรู้ในการต่อยอดอนาคตและศักยภาพของเยาวชนในพื้นที่ รวมทั้งยังไม่เข้าใจเรื่องการบริโภคอาหารปลอดภัย
จากการแลกเปลี่ยนของหลายพื้นที่ จะเห็นได้ว่าปัญหาเหล่านี้ล้วนเชื่อมกันเป็นวงจรที่ยากจะหยุด เมื่อเศรษฐกิจฝืดเคืองและเกษตรกรรมต้องเป็นไปเพื่อยังชีพ ต้นทุนการทำเกษตรอินทรีย์ยังสูง เกษตรกรขาดองค์ความรู้ และขาดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
แม้จะมีความตั้งใจดีในการทำเกษตรอินทรีย์แทนเกษตรเคมี ทว่าการเปลี่ยนผ่านยังมีรายจ่ายสูงที่ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเข้าใจของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างตลาดอินทรีย์ ร่วมลงทุนเพื่อระบบอาหารที่ยั่งยืน อีกทั้งบริบทที่แตกต่างของแต่ละพื้นที่สะท้อนวิถีชีวิตที่หลากหลายในระบบอาหาร ซึ่งต้องการแนวทางการแก้ปัญหาที่ต่างกัน
การเกิดขึ้นของสภานโยบายอาหาร จึงมีหัวใจอยู่ที่ การเป็นพื้นที่ให้เกิดการลงมือทำงานร่วมกัน เป็นพื้นที่เชื่อมต่อการทำงานทั้งระหว่างหน่วยงานและต่างภาคส่วน (ภาครัฐ – ภาคเอกชน – ภาคประชาสังคม) เชื่อมระหว่างผู้คนในห่วงโซ่อาหาร (ผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้แปรรูป ผู้ขนส่งและจัดจำหน่าย และผู้จัดการขยะ) เชื่อมระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (แหล่งทุน-องค์กรไม่แสวงผลกำไร-ธุรกิจ) และให้ความสำคัญกับปัญหาในระบบอาหารในระดับท้องถิ่นหรือระดับเมืองด้วย
โดยให้คนในพื้นที่มีบทบาทในการพัฒนาระบบอาหารของท้องถิ่น ไปจนถึงการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เป็นผู้จัดสรรงบและเสนอแนวทางการแก้ปัญหาของพื้นที่ตนเอง โดยมีเป้าหมายใหญ่ในการแก้ปัญหาเชิงระบบ (Food Systems) ด้วยการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย (Policy Recommendations) เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสู่นโยบายการขับเคลื่อนในระดับจังหวัดหรือประเทศต่อไป
การประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้ นับเป็นก้าวแรกในการเริ่มขับเคลื่อนแนวคิดสภานโยบายอาหาร ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการมารวมตัวกันเพื่อพัฒนาระบบอาหารให้ดีต่อสุขภาวะและมีความยั่งยืน และเปิดรับทุกพื้นที่ให้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยน ต่อยอดงานด้านอาหารไปด้วยกัน
โดยทุกคนต่างมีความหวังและเป้าหมายที่จะเห็นประเด็นอาหารกลายเป็นวาระแห่งชาติ และคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารปลอดภัย ให้สมกับที่อาหารไทยเป็นที่รักของหลายคนทั่วโลก