‘ตลาดเขียวในแปลง’ สนามแลกเปลี่ยนและแบ่งปัน เรื่องราวชีวิตของเกษตรกรอินทรีย์เผ่าลีซู
ดั้นด้น ค้นหา เพื่อวัตถุดิบที่ดีที่สุด แต่จะดีแค่ไหนถ้าวัตถุดิบที่ดีอยู่ใกล้บ้าน…
ตลาดที่ดีที่สุด คือ ‘ตลาดที่อยู่ในแปลง’ เป็นแนวคิดของตลาดเขียวในรูปแบบของชุมชนชาติพันธุ์เผ่าลีซู หมู่บ้านปางสา จังหวัดเชียงราย นำโดยสุพจน์ หลี่จา หรือ ‘จะแฮ’ นายกสมาคมสร้างเสริมสุขภาวะชุมชนชาติพันธุ์เผ่าลีซู (สสช.)
จะแฮอธิบายว่า ตลาดเขียวมีหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่เป็นตลาดตามสถานที่ทั่วไป หรือตลาดเฉพาะองค์กรที่ต้องมาซื้อในแปลงเกษตรกรอินทรีย์ แต่ตลาดเขียวในแปลงที่พูดถึงอยู่นี้ เป็นตลาดที่คนเดินผ่านไปผ่านมาสามารถเดินเข้าไปซื้อในแปลงได้ด้วยตัวเอง อาจจะดูแปลกสำหรับคนยุคนี้ แต่มันคือวิถีดั้งเดิมของการแลกเปลี่ยน
โลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้พี่น้องชาติพันธุ์ส่วนหนึ่งต้องเดินทางเข้าเมือง หรืออาศัยรถพุ่มพวงเพื่อซื้ออาหาร แต่ตลาดเขียวในแปลงเป็นสิ่งที่จะแฮพยายามทำให้ภาพเดิมกลับมาเป็นวิถีชีวิตที่ไม่ใช่แค่เงิน คือการแลกเปลี่ยน การแบ่งปันเรื่องราวชีวิต ความรัก ความรู้สึก ของพี่น้องลีซูที่เกิดขึ้นในแปลงผัก
“ในตลาดไม่มีตาชั่ง แค่กะเอาปริมาณที่พอจ่าย ไม่ได้ขายเพื่อให้ได้สตางค์ แต่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนปลูกกับคนกิน บางบ้านบอกปลูกอันนี้ บางบ้านอาจจะปลูกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความชอบที่แตกต่างกัน บางคนคิดว่าแปลงตัวเองอาจจะไม่สวยเหมือนของข้างบ้าน ก็เกิดการแลกเปลี่ยนกัน แปลงนี้มีถั่ว แปลงนี้มีเผือก
“คนซื้อได้มาเลือกผักในราคามิตรภาพ ไม่ได้เน้นที่ตัวเงิน แต่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ระบบนิเวศที่คนกับธรรมชาติอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่แค่เรื่องพืชหรือสัตว์ แต่เป็นระบบที่คนมีส่วนร่วม”
ข้อจำกัดของตลาดในแปลง คือเรื่องของผลผลิตที่ไม่ได้มีให้ซื้อตลอดทั้งปีเหมือนตลาดทั่วไป ผู้บริโภคต้องกินตามฤดูกาล เพื่อให้เกษตรกรปลูกพืชได้ตามธรรมชาติ ซึ่งแต่ละฤดูผลผลิตก็จะแตกต่างกัน หากมองในแง่ดีคือ ผู้บริโภคสามารถกินพืชผักได้อย่างหลากหลายตลอดทั้งปี
เรื่องเหล่านี้ ผู้บริโภคในหมู่บ้านรับรู้การออกดอกออกผลของแต่ละแปลงได้ด้วยวิธีง่ายๆ จากที่ประชุมสมาคมฯ หรือการประชุมในที่ต่างๆ ของหมู่บ้านอย่างน้อยเดือนละครั้ง ของสมาชิก 14 รายในพื้นที่ 5 ไร่ และอีกวิธีที่สำคัญคือการบอกต่อแบบบ้านต่อบ้านตามวิถีของตัวเอง
“ตอนนี้เรากำลังพยายามประชาสัมพันธ์โดยใช้สื่อต่างๆ ให้กับพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียงให้รู้จักตลาดเขียวในแปลงมากขึ้น เช่น ติดป้ายหน้าสวนให้คนรู้ หรือตอนนี้ก็มีรายการของไทยพีบีเอสที่มาทำรายการให้คนข้างนอกได้รู้จัก แต่คนข้างนอกอาจจะสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมราคา เพราะค่าขนส่งแพงกว่าราคาพืชผัก เราจึงขายกันเองในบ้านนี่ล่ะ”
ตลาดเขียวไม่จำเป็นต้องใหญ่ อาจจะเป็นร้านค้าเล็กๆ หรือว่าที่ใดก็ตามที่คนกิน คนขาย คนปลูก มีความพร้อมมาเจอกัน เป็นพื้นที่กระจายอยู่ในจุดเล็กๆ และหลากหลาย ให้คนเข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน ชาวบ้านก็ลดการซื้ออาหารจากข้างนอก เพิ่มการบริโภคและลดรายจ่ายในครัวเรือน
การแลกเปลี่ยนเล็กๆ นี้เป็นพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนที่ใหญ่ขึ้น นำไปสู่ระดับประเทศ เช่น โครงการที่ผ่านมา ทั้งปลาแลกข้าว และการแลกเมล็ดพันธุ์ระหว่างเกษตรกรอินทรีย์กระจายไปทั่วประเทศ
จะแฮมองว่า ความยั่งยืนในอนาคตของตลาดเขียว นอกจากประเด็นตลาดที่ทำให้คนเข้าถึงมากที่สุดแล้ว ยังเป็นเรื่องขนาดของตลาดที่คนเข้าถึงได้ง่ายๆ เพื่อความยั่งยืนของสายธารตลาดเขียว คือ คนปลูกเป็นต้นน้ำ กลางน้ำคือตลาดต่าง ๆ และท้ายน้ำคือผู้บริโภค