เกษตรธรรมชาติกับพลังชีวิต การปลูกและการกินที่สัมพันธ์กันด้วยธรรมชาติ
“คนที่จะเข้ามาทำเกษตรธรรมชาติได้ เขาต้องมาด้วยความรัก ความรักในดิน คือไม่เอาสิ่งที่เป็นอันตรายใส่ลงในดิน รักในพืชที่เขาปลูก รักในผู้บริโภค คนที่จะทำเกษตรธรรมชาติจะต้องละทิ้งความเห็นแก่ตัวออกไป” ประสิทธิ์ ชำนาญกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรธรรมชาติของมูลนิธิ MOA Thai เล่าเรื่องนี้ให้ชาวตลาดที่มาจับจ่ายในตลาดเขียว ‘Slow Life บางกอก’ เมื่อต้นเดือนมกราคมได้ฟัง
เรื่องราวของการปลูกพืชผักในวิถีเกษตรธรรมชาติ ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเข้าใจง่ายสำหรับผู้บริโภคว่า
“เราใช้วิธีปรับปรุงดินด้วยสิ่งที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ เช่น ใบไม้ ฟางข้าว เราพยายามไม่เอาปัจจัยการผลิตจากภายนอกฟาร์มเข้าไป มีการใช้ปุ๋ยหมักในการปรับปรุงดินแค่ในระยะแรก เมื่อดินร่วนซุย อ่อนนุ่ม เหมาะกับการที่รากของพืชจะชอนไชได้แล้ว ก็จะเลิกใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมักธรรมชาติ และเราเน้นการปลูกพืชหมุนเวียนตามฤดูกาล นี่คือหลักการของเกษตรธรรมชาติ”
ด้วยกระบวนการผลิตที่อิงกับธรรมชาติเป็นหัวใจ เกษตรธรรมชาติจึงแตกต่างจากการทำเกษตรในสายอื่นๆ ความสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อดินดีแล้ว พืชจะเจริญเติบโตดี แข็งแรง และต้านทานโรค
“ในเบื้องต้นที่ดินยังไม่ดีพอ เราอนุญาตให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยหมักได้ เราไม่ใช้ปุ๋ยคอก แต่จะแนะนำให้เอาปุ๋ยคอกมาหมักให้เกิดกระบวนการย่อยสลายจนหมด แล้วค่อยนำไปปรับปรุงดิน เพราะปุ๋ยคอกเป็นมูลสัตว์ที่บางครั้งอาจมีพยาธิ หากไม่ได้หมักก่อนแล้วนำไปใส่แปลงพืช เมื่อรดน้ำไข่พยาธิอาจกระเด็นไปบนยอดผัก หากล้างไม่สะอาดก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้”
ผักที่ปลูกด้วยวิถีเกษตรธรรมชาติ จึงเป็นผักที่ถูกโอบอุ้มไว้ด้วยพลังชีวิต ซึ่งอาหารที่มีพลังชีวิตมาก หรือมีปราณมากนั้น มีคุณสมบัติอยู่ว่าเป็นของที่คงความเป็นธรรมชาติ (ไม่สำเร็จรูป) ยิ่งอาหารนั้นคงความเป็นธรรมชาติเท่าใด ยิ่งมีปราณมาก และผักมีความเป็นธรรมชาติเพราะเติบโตจากดิน
เป็นของที่ผลิตได้ตามฤดูกาลหรือมีความสดใหม่ ยิ่งมีปราณมากก็ยิ่งรสชาติดี ยิ่งมีรสชาติดีก็ยิ่งมีสารอาหารมาก ผักที่เก็บไว้นานและมีรสชาติดีลดลงก็เพราะสูญเสียปราณไปนั่นเอง
เป็นผลผลิตจากธรรมชาติ พลังจากดินจะมีอิทธิพลต่อรสชาติมาก การปลูกแบบไม่ใช้ปุ๋ยหรือปลูกแบบเกษตรธรรมชาติจึงมีรสชาติดีเพราะได้รับพลังจากดินอย่างเต็มที่ ผักที่ได้รับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยคอกจะเสียรสชาติตามธรรมชาติ ในทางกลับกัน ถ้าพืชได้ดูดซึมธาตุอาหารจากดิน ผักก็จะมีรสชาติดีตามธรรมชาติ
เป็นผลผลิตที่มีกลิ่นหอม เพราะสารอาหารคือปราณที่มีอยู่มากในอาหารโดยเฉพาะผัก ผักยิ่งหอมจึงยิ่งมีปราณมาก ผลไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีน้ำมากก็มีปราณมากเช่นกัน
อาหารจะมีระยะเวลาการคงอยู่ของปราณสั้นยาวต่างกัน สังเกตได้จากเวลาที่เน่าเสีย ของยิ่งสดจึงยิ่งมีปราณมาก แต่การทำให้เป็นของแห้งและเก็บไว้ได้นานนั้นอาศัยปราณของเกลือและไม่มีความชื้น และนอกจากองค์ความรู้ที่ในวิถีการผลิตที่เกษตรกรได้รับแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่เอ็มโอไทยทำควบคู่กันไปด้วย คือการปรับเปลี่ยนทัศนคติของเกษตรกร ให้รับผิดชอบต่อผู้บริโภครวมไปถึงผู้อื่นอย่างหนักแน่น
“ในขณะที่เกษตรกรรักชีวิต ปลูกผักกินเองเพื่อได้มีผักปลอดภัย ผู้บริโภคก็ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน เอ็มโอเอจึงมีเรื่องของการพัฒนาข้างในอยู่ด้วย และเราพยายามเข้าไปช่วยตรวจสอบให้กับผู้บริโภค ด้วยการรับรองพื้นที่โดยมีเจ้าหน้าที่หรือแกนนำเกษตรธรรมชาติในพื้นที่ออกติดตามให้ เพื่อที่ผู้บริโภคจะได้บริโภคพืชผักที่ดีต่อสุขภาพจริงๆ”
ภาพ: MOA Thailand
ที่มา:
– ‘อาหารที่มีพลังชีวิตมาก’ จากหนังสือชุมชนอาหารสุขภาวะ เชียงแสน
– เสวนา ‘เกษตรธรรมชาติและการบริโภค’ ณ Slow Life บางกอก