การกินหรือไม่กินข้าว อาจทำให้อาชีพชาวนาหายไปจริงหรือ?

การกินหรือไม่กินข้าว อาจทำให้อาชีพชาวนาหายไปจริงหรือ?

คนไทยผูกพันกับ ‘ข้าว’ มาเนิ่นนาน ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้บริโภค เมื่อมีคนกินข้าว ก็มีคนปลูกข้าว แต่จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อในทุกวันนี้ การบริโภคข้าวของคนไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง และกำลังสร้างผลกระทบต่อชีวิตให้กับชาวนาทั่วประเทศ จากงานวิจัยสำรวจข้าวในปี พ.ศ. 2521 โดยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.อัมมาร สยามวาลา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าว และ ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่า คนไทยกินข้าวเฉลี่ยปีละ 180 กิโลกรัม

อีกสิบกว่าปีต่อมา พบว่า การบริโภคข้าวของคนไทยลดลง จากข้อมูลของ รศ.ดร. สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ พบว่า ปี 2533 คนไทยบริโภคข้าวเฉลี่ยปีละ 119 กิโลกรัมต่อคน ถัดมาปี พ.ศ. 2545 ลดลงเหลือเฉลี่ยปีละ 101 กิโลกรัมต่อคน

จนถึงปี 2552 มีตัวเลขที่น่าสนใจระบุว่า คนไทยแต่ละภูมิภาคบริโภคข้าวในปริมาณที่แตกต่างกัน ภาคอีสานเฉลี่ยปีละ 142 กิโลกรัมต่อคน ภาคเหนือเฉลี่ยปีละ 109 กิโลกรัมต่อคน ภาคใต้เฉลี่ยปีละ 83 กิโลกรัมต่อคน ภาคกลางเฉลี่ยปีละ 80 กิโลกรัมต่อคน น้อยสุดคือกรุงเทพฯ และปริมณฑล เฉลี่ยปีละ 46 กิโลกรัมต่อคนเท่านั้น จากสถานการณ์การบริโภคข้าวของคนไทย แสดงให้เห็นว่าในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา คนไทยบริโภคข้าวลดลงกว่าร้อยละ 50 แล้วเพราะอะไรคนไทยถึงบริโภคข้าวน้อยลง การลดลงนั้นจะส่งผลกระทบต่อชีวิต และอาชีพของชาวนาอย่างไร หรือจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างทั้งในปัจจุบันและอนาคต

และนี่คือคำตอบจาก 3 เกษตรกรและชาวนาอย่างนันทา ประสานวงษ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโฉนดชุมชนคลองโยง-ลานตากฟ้า จ.นครปฐม อุบล อยู่หว้า ชาวนาจากเครือข่ายเกษตกรรมทางเลือกภาคอีสาน และสุณัฐลินี สินพรม จากตลาดปันอยู่ปันกิน ในงานเสวนา ‘เปิดม่านชีวิตชาวนา’ การกินหรือไม่กินข้าวของผู้บริโภคส่งผลต่อชีวิตชาวนา โดยมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนถึงงานเทศกาลข้าวใหม่ประจำปี 2566 ที่ใกล้จะมาถึง ดำเนินรายการโดยคุณกรรณิการ์ กิจติเวชกุล

การบริโภคข้าวของคนไทยลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และพิษเศรษฐกิจ วิถีการกินที่เปลี่ยนไป การสื่อสารและข้อมูลเรื่องข้าวไทยที่เข้าไม่ถึงผู้บริโภค เช่น ข้าวแต่ละสายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์หลักที่คุ้นเคย หรือสายพันธุ์พื้นเมือง ก็มีความอร่อยและมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน ให้คุณประโยชน์ที่ไม่เหมือนกัน

ยกตัวอย่างข้าวหอมมะลิแดง เหมาะกับผู้สูงอายุ และผู้เบาหวาน เพราะมีค่าดัชชี้น้ำตาลที่ต่ำ ข้าวมี 3 แบบ หนึ่ง-แบบขัดข้าวให้ความนิ่ม แต่สารอาหารจะหายไป สอง-ข้าวซ้อมมือ แข็งขึ้นมาเล็กน้อย พอมีสารอาหารอยู่ สาม-ข้าวกล้อง สารอาหารครบ มีหลายสายพันธุ์ที่ให้ความแข็งหรือนุ่มต่างกัน ส่วนข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ก็ให้ความอร่อยที่แตกต่างกัน

สถานการณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันเช่นกัน ทั้งสองประเทศจึงใช้วิธีรณรงค์ให้คนกลับมากินข้าว สื่อสารกับผู้บริโภคในชีวิตประจำวันผ่านการกินข้าว เช่น ข้าวสายพันธุ์ไหนกินกับอะไรแล้วอร่อย ทำมาสคอตสอนคนหุงข้าวให้อร่อย วิธีการกินข้าวแบบไหนถึงจะอร่อยที่สุด หากข้าวเหลือทำเมนูไหนได้อีก

กลับมาที่ประเทศไทย เมื่อผู้บริโภคกินข้าวน้อยลงเรื่อยๆ ข้าวที่เก็บเกี่ยวได้เกิดการค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก ชาวนาที่ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตต้องหันมาแปรรูปข้าว เช่น การทำผงชงดื่ม ทำเป็นโจ๊กสำเร็จรูป แป้งข้าว หรือมองหาช่องทางการระบายสต็อกข้าวในรูปแบบอื่นๆ อาทิ จำหน่ายข้าวตกเกรดในราคาถูก ชวนผู้บริโภคซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าร่วมสั่งกันซื้อข้าวเพื่อบริจาคให้กับพื้นที่ชายขอบ หรือองค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหาผลกำไร ในขณะเดียวกันยังเป็นผู้จัดจำหน่ายโดยตรง เช่น ออกบูธที่ตลาดเขียวที่กระจายตัวอยู่ในหลายจังหวัด หรือตลาดท้องถิ่นอื่นๆ

ในทุกกระบวนการไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในแต่ละส่วนต้องใช้องค์ความรู้และความชำนาญที่ต่างกัน ชาวนาบางส่วนจำใจต้องละทิ้งผืนนาเพื่อทำอย่างอื่น รุ่นลูกเองก็ไม่รับช่วงต่อเพราะทำนาแล้วไม่เห็นผล ท้ายสุดผืนนาน้อยลง และอาชีพชาวนาก็มีโอกาสที่จะสูญหายไปได้

นอกจากนี้การกินข้าวที่น้อยลง ยังส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมทางอ้อม พื้นที่ทางการเกษตรและผืนนาถูกเปลี่ยนให้พื้นที่อุตสาหกรรมรีไซเคิลมากขึ้น ทำให้สิ่งแวดล้อมรอบด้าน ดิน อากาศ แหล่งน้ำเกิดการปนเปื้อน ระบบนิเวศเสียสมดุล และค่อยๆ ถูกทำลาย วนกลับมาสร้างผลเสียต่อสุขภาพของผู้คนและคลังอาหารของโลกในระยะยาว

tag:

ผู้เขียน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscribe

ติดตามข่าวสาร Gindee Club

About Gindee Club

Connect us

Copyright © 2023 Gindee Club. All right reserved.