ภารกิจ “ลดโรค” เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้ “ลดเค็ม”

ภารกิจ “ลดโรค” เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้ “ลดเค็ม”

แม้การกินเค็มแต่พอดีจะดีต่อร่างกาย เพราะโซเดียมนั้นก็เป็นสารอาหารที่จำเป็น แต่จะมีสักกี่คนที่กินเค็มได้อย่างพอดี? จากข้อมูลผลสำรวจปริมาณการบริโภคเกลือโซเดียมของคนไทยในปี 2563 พบว่า มีอัตราการบริโภคเฉลี่ย 3,636 มก./วัน ซึ่งเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำเกือบ 2 เท่า

ภาพยุทธศาสตร์ลดเค็ม 3 Gindee Club กินดี คลับ

การบริโภครสเค็ม หรือการได้รับโซเดียมในปริมาณสูงเกินความต้องการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับความดันโลหิต เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นปัญหา ที่ไม่ได้ส่งผลแค่ความเจ็บป่วย แต่ยังหมายรวมถึงภาระค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับการดูแลรักษา กลายเป็นปัญหาในทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามมา

เพราะการบริโภคเค็มนั้นกลายเป็นปัญหา ประเทศไทยจึงเกิด “การรณรงค์ลดการบริโภคเกลือโซเดียมในประชากรไทยเพื่อลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” ขึ้น โดยเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ซึ่งได้รับการสนับสนุนการจัดตั้งขึ้นจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.)

ทั้งนี้ สสส. เครือข่ายลดบริโภคเค็ม และ WHO ยังได้ร่วมกันหนุน 4 มาตรการ “ลดการบริโภคเกลือโซเดียม” เชิญชวนให้ผู้ประกอบการปรับสูตรอาหาร พร้อมกำหนดนโยบายจัดซื้ออาหารอ่อนเค็มในองค์กร ติดฉลากคำเตือนและให้สัญลักษณ์สี รวมถึงการสื่อสารสร้างความตระหนักรู้ ช่วยคนไทยปรับพฤติกรรมการกิน มุ่งเป้าลดกินเค็มลง 30% ลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากโรค NCDs ภายในปี 2568

WKD2015 6D 60 Gindee Club กินดี คลับ

ปัจจุบันเครือข่ายลดบริโภคเค็มได้ทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน และมีเครือข่ายเพิ่มมากขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมมือกันผลักดันให้คนไทยลดการกินเค็มลง ซึ่งหากทำให้ประชากรไทยลดการบริโภคเกลือและโซเดียมลงร้อยละ 30 ภายในปี 2568 ตามที่องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าหมายไว้ได้ คาดว่าจะทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของประเทศไทยจะลดลงด้วยเช่นกัน

ปฏิบัติการ “ลดเค็ม ลดโรค”

เมื่อปี 2549 องค์การอนามัยโลกได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกำหนดทิศทางของการลดการบริโภคเค็ม ณ กรุงปารีส ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกได้ลงความเห็นสรุปไว้เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จไว้ 3 เรื่องหลัก คือ หนึ่ง การปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีปริมาณเกลือหรือโซเดียมลดลง สอง การให้ความรู้และทำให้ผู้บริโภคตระหนักรู้ สาม การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลือกอาหารที่มีผลดีต่อสุขภาพ

จากกุญแจสำคัญ 3 ข้อนี้ เครือข่ายลดบริโภคเค็มร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีปริมาณเกลือหรือโซเดียมลดลง ด้วยการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมอาหาร และผู้ขายหรือผู้ให้บริการด้านอาหาร เน้นให้มีการลดปริมาณการใช้เกลือหรือโซเดียมในอาหารที่จำหน่ายให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ทางเครือข่ายได้ทำการวิจัยปรับสูตรอาหารให้มีความเค็มลดลง โดยใช้สารทดแทนความเค็มในต้นแบบผลิตภัณฑ์อาหารยอดนิยมของคนไทย 15 ชนิด แบ่งเป็นกับข้าว 7 ชนิด ได้แก่ แกงส้ม แกงเลียง แกงเขียวหวาน พะแนงหมู ผัดกะเพรา ผัดผัก พะโล้ และอาหารจานเดียวอีก 8 ชนิด คือ ผัดไท ข้าวผัด ส้มตำ หมูปิ้ง ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ข้าวหมกไก่ โจ๊กไก่ และน้ำซุปใส

นอกจากนี้ยังมีการปรับสูตรอาหารให้ความเค็มลดลง พัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์อาหารลดโซเดียมด้วยเทคนิคด้านกลิ่นรสจากสมุนไพรไทย จากการศึกษาพบว่าสมุนไพรไทยบางชนิดช่วยเพิ่มการรับรสเค็มได้ เช่น กระเทียม มะนาว โหระพา ผักชีฝรั่ง หอมแดง ใบมะกรูด พริกขี้หนูสวน ซึ่งกระเทียมสามารถเพิ่มรสเค็มได้มากที่สุด

การเพิ่มสัดส่วนสมุนไพรไทยในอาหาร 25-50% ช่วยให้ลดปริมาณโซเดียมจากเครื่องปรุงรสได้ราว 25% โดยไม่ส่งผลต่อรสชาติ และยังมีการจัดอบรมถ่ายทอดความรู้ เป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ลดโซเดียมให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย จัดทำหนังสือ “เมนูอาหารลดโซเดียม” ให้ประชาชนและร้านค้าผู้ประกอบการที่มีความสนใจในการทำเมนูลดโซเดียม สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก ความรู้ งานวิจัย (lowsaltthai.com)

และเพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อลดการบริโภคน้ำตาล โซเดียม และไขมัน เครือข่ายได้ทำการพัฒนาและส่งเสริมการใช้สัญลักษณ์โภชนาการอย่างง่าย ด้วยการออกฉลาก “Healthier Logo” ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้าร่วมโครงการกว่า 1,798 ผลิตภัณฑ์

การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการปฏิบัติการลดเค็ม ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ของประชาชนผ่านสื่อในช่องทางต่างๆ ทั้งรายการโทรทัศน์ คลิปหนังสั้น สื่อออนไลน์ต่างๆ รวมถึงการเดินสายประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ในวาระต่างๆ ที่ครอบคลุมทั้งกลุ่มเยาวชนในสถานศึกษา และประชาชนผ่านหน่วยงานสาธารณสุข

ทั้งนี้ ยังได้ร่วมกับภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิจัยและผลิตเครื่องตรวจความเค็มในตัวอย่างอาหาร และปัสสาวะ หรือ Salt Meter เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการติดตามและเฝ้าระวังในการควบคุมการลดโซเดียมด้วยตนเอง โดยให้กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทดลองใช้เก็บผลด้วยตนเอง พบว่าผู้ป่วยที่ใช้ Salt Meter มีโซเดียมในปัสสาวะ และความดันโลหิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าเครื่องมือนี้สามารถช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้

เครือข่ายบริโภคลดเค็ม ยังได้ร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล สร้างฐานข้อมูลวัตถุดิบอาหารและเครื่องปรุงรสอาหารท้องถิ่นภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอาหารที่นิยมรับประทาน เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับนักกำหนดอาหารและนักโภชนาการในการปรับสูตรอาหารให้แก่คนไข้ ฯลฯ

รวมถึงการเก็บข้อมูลการบริโภคโซเดียมของคนไทย เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลโซเดียมเฉลี่ย ซึ่งนำไปสู่การกำหนดนโยบายการลดโซเดียมของประเทศ ที่อาจเกิดการปรับเปลี่ยนสูตรอาหารต่างๆ ในภาคอุตสาหกรรมอาหาร การขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมสูง หรือการปรับเปลี่ยนฉลากโภชนาการให้มี warning label เพื่อให้คนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยที่ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ตามปริมาณการบริโภคที่ WHO แนะนำ เพื่อลดโรคภัยจากความเค็มที่แฝงมาในอาหาร

อีกหนึ่งกุญแจสำคัญของการลดเค็มคือ การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลือกอาหารที่มีผลดีต่อสุขภาพ เครือข่ายฯ ได้ผลักดันให้เกิดการแสดงข้อมูลปริมาณโซเดียมอย่างชัดเจนบนฉลากโภชนาการ และเพิ่มปริมาณกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บังคับให้แสดงฉลากโภชนาการมากขึ้น โดยทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

ทั้งยังร่วมกับสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค จัดตั้งชุมชนลดเค็มทั่วประเทศ ในยุทธศาสตร์ลดการบริโภคและโซเดียมในประเทศไทย ปี 2559-2568 โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข วางเป้าหมายให้เกิดโรงพยาบาลเค็มน้อย อร่อย (3) ดี

ภายใต้แนวคิด ‘อาหารโรงพยาบาลเค็มน้อย ดีลดโรค ดีต่อสุขภาพ และอร่อยดี’ เพื่อปรับสิ่งแวดล้อมให้โรงพยาบาลมีแหล่งอาหารโซเดียมต่ำ ทั้งอาหารสำหรับผู้ป่วยที่พักในโรงพยาบาล และจากร้านอาหาร ร้านสวัสดิการในโรงอาหารสำหรับเจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้มารับบริการที่โรงพยาบาล และจัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องการลดการบริโภคเกลือและโซเดียมอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้การดำเนินงานยังต้องมีการใช้ข้อบังคับกฎหมาย หรือการจัดเก็บภาษีควบคู่ไปด้วย โดยมีการหารือเรื่องการจัดทำภาษีโซเดียมร่วมกับกรมสรรพสามิต สำนักคณะกรรมการอาหารและยา กรมควบคุมโรค สมาคมวิชาชีพต่างๆ และภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมตื่นตัวในการปรับปรุงสูตรอาหารเพื่อลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์ลง เบื้องต้นมีการวางแผนการเก็บภาษีในกลุ่มขนมขบเคี้ยวและอาหารกึ่งสำเร็จรูปก่อน ซึ่งกรมสรรพสามิตจะนำเสนอรัฐบาลเพื่อพิจารณาต่อไป

Mission Possible
จากปฏิบัติการลดเค็มเพื่อลดโรคที่เครือข่ายบริโภคลดเค็มได้นำ 3 หลักกุญแจสำคัญมาเป็นกลยุทธในการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง หากดูจากผลสำรวจเมื่อปี 2562 พบว่า การบริโภคเกลือโซเดียมในประชากรทั่วประเทศลดลงกว่า 20%

และสิ่งที่สามารถวัดผลความสำเร็จได้คือ คนไทยเกิดความรู้ความเข้าใจว่าการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนั้นมีสาเหตุมาจากการบริโภคโซเดียมในปริมาณสูงเกินความต้องการอย่างต่อเนื่องเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ความเข้าใจนี้ส่งผลให้แนวโน้มการบริโภคโซเดียมลดลง และเมื่อแต่ละภาคส่วนหันมาให้ความสำคัญในการผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์โซเดียมต่ำ เพื่อให้ผู้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แนวโน้มการลดการบริโภคโซเดียมตามที่องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าไว้ก็เริ่มเห็นความหวัง

tag:

ผู้เขียน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscribe

ติดตามข่าวสาร Gindee Club

About Gindee Club

Connect us

Copyright © 2023 Gindee Club. All right reserved.