นอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นให้คนรักสุขภาพดีได้มีที่จับจ่ายวัตถุดิบพืชผัก ผลไม้ รวมถึงอาหารปรุงสำเร็จ และขนมเพื่อสุขภาพแล้ว ตลาดเขียวที่เริ่มเติบโต ค่อยๆ ขยับขยาย และเพิ่มจำนวนมากขึ้น ยังเป็นพื้นที่ให้เหล่าผู้ประกอบการและผู้บริโภคสามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงกันมากขึ้น เช่นเดียวกับ ‘พัฟฟ์ย่าง สวนดินคานาอัน’ ของมะลิ เหลืองอร่าม ของว่างกินอร่อยที่คนรักสุขภาพเท่านั้นจะเข้าใจ
“เคยลองไปขายตามตลาดนัดปกติทั่วไปแล้ว แต่ไม่มีใครเข้าใจ” คำบอกกล่าวจากหญิงสาวเจ้าของร้าน อันเป็นเหตุผลที่ทำให้เราหายใจข้องใจว่า เพราะเหตุใดจึงไม่เคยเห็นรถขายพัฟฟ์ย่างของเธอจอดขายในตลาดหรือแม้แต่เทศกาลอาหารทั่วไปที่ใดเลย
“คนเดินตลาดทั่วไปเขาไม่ได้สนใจหรอกว่าทำไมต้องพัฟฟ์ย่าง แล้วพัฟฟ์ย่างของเรามันคืออะไร เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการแค่ซื้อเสร็จแล้วกินเลย ในขณะที่คนเดินตลาดเขียวมีความชัดเจนว่าเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพ เป็นคนที่อยากรู้ อยากหาข้อมูลว่าสิ่งนี้คืออะไร สิ่งนี้ดียังไง เพื่อที่เขาจะได้ซื้อและกินอย่างสบายใจ” มะลิขยายความต่อก่อนที่จะเริ่มพูดคุยถึงเรื่องราวของพัฟฟ์ย่าง อาหารหรือของว่างที่มีความปลอดภัย และมีเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย
กะหรี่ปั๊บต้นตำรับของพัฟฟ์ย่าง
‘พัฟฟ์ย่าง สวนดินคานาอัน’ เกิดขึ้นจากความเชื่อว่า การบริโภคอาหารปลอดภัย คือความมั่นคงที่สุดในชีวิต ซึ่งพัฟฟ์ย่างหน้าตาละม้ายคล้ายกะหรี่ปั๊บ อันมาจากการสร้างสรรค์ของมะลิ ได้แรงบันดาลใจจากกะหรี่ปั๊บนั่นเอง
“ความที่มีบ้านเกิดอยู่จังหวัดชัยภูมิ ทำให้ต้องเดินทางขึ้น-ล่องผ่านจังหวัดสระบุรี แหล่งขายกะหรี่ปั๊บอยู่บ่อยๆ เลยทำให้คิดได้ว่าไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือกะหรี่ปั๊บ สุดท้ายลองคิดดูว่าถ้าไม่เอามาทอด กะหรี่ปั๊บจะทำอะไรได้บ้าง เพราะตัวเองป่วยเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ต้องตัดถุงน้ำดีออก ทำให้กินของทอดไม่ได้
“ถ้าไม่ทอด อบได้มั้ย หรือย่างได้มั้ย สุดท้ายจบที่ย่าง แล้วแป้งล่ะ แป้งเกิดจากการทำให้ละเอียด ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างสามารถทำแป้งได้หมด อยากได้แป้งข้าวโพดก็เอาข้าวโพดมาบด แป้งสาลีก็เกิดจากการเอาข้าวสาลีมาปั่น ในเมื่อข้าวสาลีปั่นเป็นแป้งได้ ข้าวอื่นๆ ต้องปั่นเป็นแป้งได้เหมือนกัน เราจึงเริ่มทดลองทำไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นพัฟฟ์ย่างที่ขายอยู่ในปัจจุบัน”
แป้งพัฟฟ์จากข้าวกล้องสายพันธุ์ไทยโบราณ
ที่มาที่ไปของพัฟฟ์ย่าง บอกเล่าโดยเจ้าของร้าน โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ตัวแป้งซึ่งทำมาจากข้าวกล้องอินทรีย์ ที่ล้วนแต่เป็นข้าวสายพันธุ์ไทยโบราณ อาทิ ข้าวเวสสันตะระ ข้าวสีลาภรณ์ ข้าวขาววิสุทธิ์ ข้าวเพชรราตรี ปลูกโดยกลุ่มชาวนาไทอีสาน
ส่วนวิธีการทำ มะลิว่าเธอและสามีช่วยกันทำด้วยความพิถีพิถัน และโฮมเมดทุกขั้นตอน ตั้งแต่ตัวแป้งพัฟฟ์ข้าวกล้องอินทรีย์ที่ปั่นและนวดเองจนกลายเป็นแป้งโด นำมาห่อไส้ต่างๆ มีทั้งคาวหวานเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยล้วนเป็นวัตถุดิบจากเกษตรอินทรีย์ทั้งสิ้น ปรุงรสง่ายๆ ด้วยดอกเกลือและน้ำตาลมะพร้าว ห่อจีบเป็นทรงเหมือนกะหรี่ปั๊บ และย่างสดใหม่ทุกชิ้น
เหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลที่มะลิอยากสื่อสาร บอกกล่าวให้ลูกค้าของเธอได้รับรู้ เข้าใจ และซื้อกลับบ้านไปกิน ไปฝากให้คนรักได้อย่างสบายใจ
ตลาดเขียว ตัวกลางการเชื่อมโยงคนรักสุขภาพให้เข้าถึงอาหารปลอดภัยที่ยังมีไม่มากพอ
“ทุกวันเรียกได้ว่าขายพัฟฟ์ย่างหาเลี้ยงชีพ ตระเวนไปตามตลาดเขียวต่างๆ โดยมากจะขายวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะตลาดเขียวส่วนใหญ่จะมีแค่เสาร์ อาทิตย์ ร้านค้าออร์แกนิก เกษตรอินทรีย์บ้านเรามีไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะรวมตัวจับกลุ่มกัน ฉะนั้นหากที่ไหนเปิดตลาดขายของเหล่านี้ก็จะรู้มาถึงเรา เพราะบอกต่อกันเป็นเครือข่าย
“ถามว่าตลาดเขียวมีเยอะมั้ย เราคิดว่ายังมีไม่เยอะ แต่ปัจจุบันก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ นับว่าเป็นเรื่องของทั้งคนซื้อและคนขาย ตลาดแบบนี้เป็นตลาดที่เราได้คุยกับคน และทำให้เรารู้ว่า จริงๆ ลูกค้าต้องการตลาดแบบนี้มากขึ้น ต้องการให้มีอยู่ใกล้บ้านเขา ต้องการให้ราคาสินค้าออร์แกนิก สินค้าเกษตรปลอดสารราคาถูกลง
“ซึ่งถ้าตลาดเยอะขึ้น พื้นที่ให้ขายมีมากขึ้น ผู้ประกอบการ เกษตรกรจะสามารถผลิตสินค้าได้ปริมาณเยอะขึ้น เพราะมีพื้นที่รองรับให้เขาขายของ ราคาสินค้าก็จะถูกลงไปตามกลไก
“พูดง่ายๆ คือ ถ้าตลาดเขียว ตลาดเกษตรปลอดสาร ตลาดออร์แกนิกมีเยอะขึ้น ก็เป็นเรื่องดีต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เชื่อว่าทุกคนอยากกินของปลอดภัย ทุกคนรู้ข้อมูลอยู่แล้วว่าอาหารแช่แข็งไม่ดี อาหารแปรรูปไม่ดี แต่เขาไม่มีทางเลือก จะให้เขาไปกินที่ไหนล่ะ ตลาดเขียวมีเดือนละครั้ง หรือบางคนอยู่สมุทรปราการแต่ต้องมาตลาดเขียวที่ลาดพร้าว ไหนจะค่ารถ ค่าเสียเวลา เราว่ามันไม่ใช่คำตอบ”
เป็นความในใจทิ้งท้ายของผู้ประกอบการสีเขียว ที่อยากเห็นพื้นที่ที่เป็นสื่อกลางเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงอาหารปลอดภัยได้ดีกว่าเดิม
